'กรดไหลย้อน' โรคใกล้ตัวที่ใครก็เป็นได้ กินแล้วนอน เสี่ยง 2 เท่า
'กรดไหลย้อน' เป็นภัยเงียบที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย สาเหตุหลักๆ ของโรคนี้ก็มาจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิต พบได้ในทุกกลุ่มอายุ โดยผู้ที่มีความเสี่ยง คือ ทานอาหารไม่เป็นเวลา ทานแล้วนอนทันที ดื่มสุรา น้ำอัดลม สูบบุหรี่ มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน หรือโรคอ้วน เป็นต้น
Key Point :
- หลายคนคงเคยได้ยินว่า หากเรากินแล้วนอน จะทำให้เป็น 'กรดไหลย้อน' แต่ความจริงแล้ว กรดไหลย้อนเกิดจากหลายสาเหตุ
- นอกจากนี้ ยังเป็นโรคใกล้ตัวที่ใครๆ ก็เป็นได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง คือ ทานอาหารไม่เป็นเวลา ทานผลไม้เปรี้ยวจัด สูบบุหรี่ โรคอ้วน เบาหวาน และผู้ที่ทานยาบางชนิด
- การรักษา มีตั้งแต่การปรับพฤติกรรม การทานยา ไปจนถึง การตัดเย็บหูดรูดหลอดอาหาร
รู้จัก กรดไหลย้อน
ข้อมูลจาก รพ.ศิครินทร์ อธิบายว่า กรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease: GERD) เป็นภาวะที่น้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปยังหลอดอาหาร ซึ่งเกิดจากกรดในกระเพาะอาหาร จนทำให้เกิดอาการที่รบกวนต่อการชีวิตประจำวัน และเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้ เช่น การอักเสบของหลอดอาหาร
โรคกรดไหลย้อน เป็นภัยเงียบที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย โดยสาเหตุหลักๆ ของโรคนี้ก็มาจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของเรานั่นเอง โดยจะทำให้มีอาการแสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ ลามขึ้นมาบริเวณหน้าอกหรือลำคอ หลังจากทานอาหารมื้อหนัก และมีอาการเรอมีกลิ่นเปรี้ยว
สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน
- หลอดอาหารส่วนปลายคลายตัวโดยที่ยังไม่กลืนอาหาร
- ความดันจากหูรูดของหลอดอาหารส่วนปลายลดลงต่ำกว่าปกติ หรือเกิดการเลื่อนของกระเพาะอาหารเข้าไปในหลอดอาหาร
- ความผิดปกติของการบีบตัวของกระเพาะอาหาร หรือหลอดอาหาร ทำให้อาหารค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนานกว่าปกติ
- เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย หรือเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม
- พฤติกรรมในการดำเนินชีวิต เช่น การรับประทานเสร็จแล้วนอนทันที การรับประทานของมันๆ มากเกินไป
- ภาวะความเครียด โดยผู้ที่มีความเครียดมักมีภาวะหลอดอาหารที่มีความไวเกินต่อสิ่งกระตุ้น หลอดอาหารอ่อนไหวต่อกรด เมื่อมีกรดไหลย้อนขึ้นมาแม้เพียงเล็กน้อย จะมีอาการแสดงทันที
- ปัจจัยอื่นๆ เช่น โรคอ้วน การตั้งครรภ์ สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม การรับประทานยาบางชนิด เป็นต้น
ความเสี่ยง กรดไหลย้อน
โรคกรดไหลย้อน มักพบในผู้ที่ทำงานออฟฟิศ เนื่องมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหาร แต่ไม่เพียงเท่านั้น โรคกรดไหลย้อนสามารถพบได้ในทุกกลุ่มอายุ เป็นโรคใกล้ตัวที่ใครๆ ก็เป็นได้ โดยผู้ที่มีพฤติกรรมเหล่านี้ มีความเสี่ยงเป็นกรดไหลย้อน
- รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา รับประทานแล้วนอนทันที
- ชอบรับประทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเป็นประจำ
- ดื่มสุรา น้ำอัดลม
- สูบบุหรี่
- ผู้หญิงตั้งครรภ์
- มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน หรือโรคอ้วน
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- ผู้ป่วยโรคผิวหนังแข็ง
- รับประทานยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันโลหิตสูงบางชนิด ยาแก้โรคซึมเศร้า เป็นต้น
กินแล้วนอน ทำไมเป็นกรดไหลย้อน
หนึ่งในสาเหตุของการเกิดโรคกรดไหลย้อน ก็คือ พฤติกรรม “รับประทานแล้วนอน” ซึ่งการนอนจะทำให้หูรูดมีการทำงานที่ไม่ดี เกิดอาการกรดไหลย้อนขึ้นไปได้ รวมไปถึงท่านอนราบยังทำให้กรดไหลย้อนขึ้นไปได้ง่ายกว่าปกติ นอกจากนี้แล้ว การรับประทานอาหารและนอนทันที ยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกรดไหลย้อนถึง 2 เท่า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "ปวดท้อง"แบบไหน? เสี่ยงโรค..รู้ไว้ รักษาได้ตรงจุด
- ปวดท้องข้างซ้าย สัญญาณเตือนโรคอะไรได้บ้าง?
- ปวดหัว ปวดหลัง ปวดท้อง ต้องเช็กให้ดี อาจเสี่ยง "ซึมเศร้าซ่อนเร้น"
อาการสำคัญของกรดไหลย้อน
ทั้งนี้ โรคกรดไหลย้อน เป็นภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร จนทำให้เกิดอาการที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย หรือก่อให้เกิดพยาธิสภาพของหลอดอาหารขึ้น ข้อมูล จาก รพ.รามาธิบดี อธิบายอาการสำคัญของกรดไหลย้อน ไว้ดังนี้
- ความรู้สึกแสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ขึ้นมาที่หน้าอกและคอ อาการนี้จะเป็นมากหลังรับประทานอาหารมื้อหนัก การโน้มตัวไปข้างหน้า การยกของหนัก และการนอนหงาย
- การมีน้ำรสเปรี้ยวหรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก อาการเหล่านี้พบได้บ่อยในคนตะวันตก แต่ในคนไทยส่วนใหญ่อาการแสบร้อนที่บริเวณหน้าอกพบได้ไม่บ่อย และไม่รุนแรงเท่าชาวตะวันตก ผู้ป่วยมักมีอาการเรอ และมีน้ำเปรี้ยวขึ้นมาในปาก ในผู้ป่วยที่มีการขย้อนน้ำและอาหารขึ้นมาขั้นรุนแรง อาจทำให้เกิดการสำลักเข้าไปในปอด จนเกิดอาการปอดอักเสบได้
- ท้องอืด แน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียนหลังรับประทานอาหาร เจ็บหน้าอก จุกคล้ายมีอะไรติดหรือขวางอยู่บริเวณคอ ต้องพยายามกระแอมออกบ่อยๆ อาการหืดหอบ ไอแห้งๆ เสียงแหบ เจ็บคอ อาการเหล่านี้เกิดจากกรดที่ไหลย้อนขึ้นมาบริเวณกล่องเสียงทำให้เกิดกล่องเสียงอักเสบเรื้อรัง
โรคกรดไหลย้อน กับ โรคกระเพาะอาหาร ต่างกันอย่างไร
ผู้ป่วยที่เป็น โรคกระเพาะอาหาร มักมาพบแพทย์ด้วยอาการ ปวดแน่นท้อง แสบท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่ ท้องอืด ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีการถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ หรืออาเจียนเป็นเลือดได้
ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารมักไม่มีอาการแสบร้อนหน้าอกขึ้นมาถึงคอ เหมือนผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน ผู้ป่วยบางรายอาจมีเรอบ่อย และมีน้ำขย้อนขึ้นมาได้บ้างหลังทานอาหารอิ่มใหม่ๆ ทำให้เกิดความลำบากในการวินิจฉัยแยกโรคในผู้ป่วยบางราย
การวินิจฉัย
สำหรับ การวินิจฉัย โรคกดไหลย้อน รพ.บำรุงราษฎร์ อธิบายว่า เป็นการซักประวัติและการตรวจร่างกายทั่วไป โดยทั่วไปแพทย์จะวินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนโดยใช้อาการของผู้ป่วยเป็นหลัก หากผู้ป่วยมีอาการทางหลอดอาหารเข้าได้กับภาวะกรดไหลย้อนสามารถวินิจฉัยโรคได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติม
การตรวจเพิ่มเติม หากผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำหรือรับการรักษาเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการเตือนอื่นๆ เช่น กลืนลำบาก กลืนเจ็บ อาเจียนบ่อยๆ หรือมีประวัติอาเจียนเป็นเลือด ปวดท้องรุนแรง ถ่ายอุจจาระดำ มีอาการซีด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อาจจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยพิเศษเพิ่มเติม เช่น
- การส่องกล้องทางเดินอาหาร
- การเอกซเรย์กลืนสารทึบแสง
- การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์
- การตรวจการบีบตัวของหลอดอาหาร
- การตรวจวัดความเป็นกรด-ด่างในหลอดอาหาร
การรักษา
- การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการทานอาหาร
- ทานยาตามแพทย์สั่ง
- การเย็บหูรูดหลอดอาหารโดยไม่ต้องผ่าตัดด้วยเทคนิค TIF
- การตัดเย็บหูดรูดหลอดอาหาร
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากโรคกรดไหลย้อน
โรคกรดไหลย้อนอาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เนื่องจากฤทธิ์ของกรดทำให้หลอดอาหารระคายเคืองจนอาจเกิดการอักเสบ เป็นแผลรุนแรงจนตีบ ทำให้กลืนอาหารได้ลำบาก รู้สึกเจ็บ นอกจากนี้อาจทำให้เกิดโอกาสเสี่ยงในการเป็นมะเร็งหลอดอาหาร แต่ในปัจจุบันยังพบได้น้อยมาก
เมื่อรักษาแล้วจะกลับมาเป็นอีกหรือไม่?
ข้อมูลจาก รพ.ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ อธิบายว่า โดยทั่วไป แพทย์จะให้ทานยาลดการหลั่งของกรดเป็นเวลา 4-8 สัปดาห์ ผู้ป่วยประมาณครึ่งหนึ่งจะมีโอกาสกลับมามีอาการได้อีก ดังนั้น การรักษาในผู้ป่วยกลุ่มนี้ แพทย์จะให้ยาในกลุ่มเดิมเป็นระยะๆ 4-8 สัปดาห์ หรือให้ยาตามอาการ
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรัง อาจพิจารณาการตรวจเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องการตรวจความเป็นกรด ด่างในหลอดอาหาร หรือตรวจการทำงานของหลอดอาหาร
อ้างอิง : รพ.ศิครินทร์ , รพ.รามาธิบดี , รพ.บำรุงราษฎร์ , รพ.ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์