ควบคุมโรคโคราช แจงวัคซีนโควิดปลอดภัย มีระบบเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์
ควบคุมโรคที่ 9 โคราช เผยประชาชนสับสนไม่มั่นใจวัคซีนโควิด-19 หลังมีสื่อออนไลน์เผยแพร่ข้อมูลคลาดเคลื่อน ยันวัคซีนปลอดภัย ลดความเสี่ยงป่วยหนัก-เสียชีวิตได้ ย้ำไทยมีระบบการติดตามอาการไม่พึงประสงค์ หลังรับวัคซีนไว้ประเมินความปลอดภัย - ประสิทธิภาพของวัคซีน
นายแพทย์ทวีชัย วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวปลอมและข่าวบิดเบือนทางสื่อออนไลน์ เรื่องสถานการณ์"ภาวะลองโควิด-19"ผลกระทบของวัคซีนโควิด 19 และข้อมูลที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับระบบการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีน ได้ส่งผลให้ประชาชนบางส่วนเกิดความสับสนและไม่มั่นใจต่อระบบการเฝ้าระวังฯ ของประเทศไทยนั้น
กระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้กรมควบคุมโรคตรวจสอบและหารือร่วมกับสถาบันวัคซีนแห่งชาติ และคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประเมินเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (AEFI) เพื่อทบทวนข้อมูลวิชาการ ตลอดจน คำแนะนำล่าสุดขององค์การอนามัยโลกเกี่ยวกับวัคซีนโควิด 19 และขอชี้แจงข้อเท็จจริง ว่า
ปัจจุบันประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีการฉีดวัคซีนโควิดแล้วมากกว่า 13,000 ล้านโดส ซึ่งจากข้อมูลวิชาการ ยืนยันว่า วัคซีนดังกล่าวสามารถป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ โดยประเทศไทยเริ่มนำวัคซีนโควิด 19 มาฉีดให้กับประชาชนตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2564
ภายใต้คำแนะนำของคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ ที่ให้คำแนะนำการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในประเทศไทย บนพื้นฐานข้อมูลการศึกษาตามหลักวิทยาศาสตร์
ซึ่งวัคซีนโควิดทุกชนิดที่ใช้ในประเทศไทยจะต้องผ่านกระบวนการรับรองประสิทธิภาพและความปลอดภัยจากองค์การอนามัยโลก และจะต้องได้รับการขึ้นทะเบียนโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และมีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ดำเนินการตรวจรับรองรุ่นการผลิต (lot release)สำหรับวัคซีนทุกๆ ล็อต เพื่อควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์และให้เกิดความมั่นใจด้านความปลอดภัยสูงสุดก่อนนำไปให้บริการประชาชน
ตลอดจน มีระบบติดตามและระบบการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีน ตามหลักมาตรฐานการดำเนินงานด้านการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งประเทศไทยดำเนินระบบการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีนต่างๆ มาตั้งแต่ปี 2540 และกระทรวงสาธารณสุขมอบหมายกรมควบคุมโรค เพิ่มระบบการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นหลังได้รับวัคซีนโควิด ตั้งแต่ต้นปี 2564 โดยระบบจะรับรายงานทุกเหตุการณ์
ทั้งที่อาจจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวข้องกับการได้รับวัคซีน เพื่อให้เกิดการตรวจสอบอย่างครบถ้วนมากที่สุด ซึ่งระบบการเฝ้าระวังฯ ดำเนินการโดยคณะผู้เชี่ยวชาญระดับชาติจากหลายสาขาที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันพิจารณารายงานเพื่อให้ความเห็นว่า เกิดขึ้นจากวัคซีนหรือไม่ หรือมีปัจจัยอื่นใดที่เกี่ยวข้อง ต้องใช้ข้อมูลรอบด้านและผลตรวจด้านการแพทย์มาพิจารณาร่วมด้วย เพื่อให้มีหลักฐานเพียงพอในการวินิจฉัยได้แน่ชัดถึงสาเหตุทุกราย
ดังนั้น เมื่อกองระบาดวิทยาได้รับรายงานผู้ป่วยที่มีอาการร้ายแรงหรือเสียชีวิตภายหลังได้รับวัคซีน บุคลากร ทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบจะดำเนินการสอบสวนโรค และนำข้อมูลดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาสาเหตุและความเกี่ยวข้องกับการได้รับวัคซีน โดยมีคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประเมินเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จาก การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (AEFI) ประชุมพิจารณาร่วมกัน
ซึ่งในช่วงที่มีการฉีดวัคซีนโควิดตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน มีการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 147 ล้านโดสในประเทศไทย และมีการศึกษาในประเทศ คาดการณ์ว่าช่วง 2 ปีแรกของสถานการณ์การระบาด วัคซีนสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากโควิดได้หลายแสนราย
ซึ่งในภาพรวมเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกิดภายหลังได้รับวัคซีนโควิด19 มีอุบัติการณ์ต่ำเช่นเดียวกับวัคซีนชนิดอื่นๆ โดยระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2564 - 31 ธันวาคม 2566 มีรายงานอุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์กรณีร้ายแรง 5.09 รายต่อแสนโดส และเมื่อพิจารณารายที่เสียชีวิต 1,797 ราย คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้ว พบว่า ส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด มีเพียง 5 ราย ที่มีความเกี่ยวข้องกับวัคซีน ได้แก่
เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันร่วมกับเกล็ดเลือดต่ำ 2 ราย , มีอาการแพ้รุนแรง 2 ราย และ มีอาการ Stevens-Johnson Syndrome หรือ มีความผิดปกติของผิวหนังและเยื่อเมือกบุผิวชนิดรุนแรง 1 ราย ซึ่งคิดเป็นอุบัติการณ์เสียชีวิตที่ต่ำกว่าหนึ่งในล้านโดส
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังติดตามเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ในระยะยาว คือการเฝ้าระวังอุบัติการณ์โรคหรือภาวะทางสุขภาพในประเด็นที่สำคัญตามข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลก เช่น ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน โรคหลอดเลือดสมอง โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่พบหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ชัดเจนว่ามีความเกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาจำนวนมากในหลายประเทศ ที่ยืนยันว่า วัคซีนโควิดได้ปกป้องสุขภาพและชีวิตของผู้คนที่รับวัคซีนไว้เป็นจำนวนหลายล้านคน และการฉีดวัคซีนโควิด ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะลองโควิด (Long COVID) ภายหลังจากการติดเชื้อ
ซึ่งการศึกษาในกลุ่มประชากรขนาดใหญ่ พบว่า วัคซีนโควิด 19 สามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดลองโควิดทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ได้ 40% - 80% เทียบกับการไม่ได้รับวัคซีน
กรมควบคุมโรค จึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่า ประเทศไทยมีระบบการติดตามอาการไม่พึงประสงค์ของวัคซีนโควิดที่ดำเนินการตามมาตรฐานสากล เพื่อประเมินความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน
และกรมควบคุมโรคตระหนักถึงความสนใจหรือความกังวลของประชาชนในเรื่องข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวัคซีนโควิด จึงขอให้ติดตามรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อรับทราบข้อมูลที่ถูกต้องเผยแพร่ในเว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค