คนรุ่นใหม่ทำศัลยกรรม “จมูก-ตา”พุ่ง เสริมงาน เพิ่มความมั่นใจ
“ธุรกิจเวชศาสตร์ความงาม (Aesthetic & Surgery)” อีกหนึ่งธุรกิจที่มีการเติบโตและขยายตัวอย่างมากทั้งในไทยและตลาดโลก
KEY
POINTS
- ผู้บริโภคส่วนใหญ่ใส่ใจด้านความสวยความงาม โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y ผู้หญิง และ LGBTQIA+ ที่มีแนวโน้มให้ความสำคัญกับความสวยความงามมากขึ้น
- ศัลยกรรมเสริมความงามจะได้รับความนิยมส่วนใหญ่ ได้แก่ ศัลยกรรมจมูกและดวงตา อีกทั้งจะทำศัลยกรรมมากกว่า 1 ประเภท
- การทำศัลยกรรมในแต่ละส่วนของร่างกายนั้น ควรจะทำในช่วงอายุที่เหมาะสม เด็กอายุ 12-17 ปี เป็นวัยที่การเจริญเติบโตของร่างกายไม่เต็มที่ ไม่ควรทำศัลยกรรมในช่วงอายุดังกล่าวถ้าไม่จำเป็น
“ธุรกิจเวชศาสตร์ความงาม (Aesthetic & Surgery)” อีกหนึ่งธุรกิจที่มีการเติบโตและขยายตัวอย่างมากทั้งในไทยและตลาดโลก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยปี 2566 มีมูลค่าตลาดประมาณ 71,000-72,000 ล้านบาท ขยายตัวราว 2.3%-3.6% และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องราว 10% ตั้งแต่ช่วงปี 2565-2573
จากเทรนด์ดูแลผิวและความงามของผู้บริโภคยุคใหม่ทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ต่างชาติ ด้วยค่าบริการในไทยที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายเมื่อเทียบค่าบริการเฉลี่ยโลก รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านหัตถการและศัลยกรรมความงามอันดับต้น ๆ ของเอเชียแปซิฟิก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
‘สุขภาพ-ความงาม’ มาแรงแห่งยุค คาด ปี 70 มูลค่าตลาดพุ่ง 2.48 แสนล้านบาท
คนรุ่นใหม่ทำศัลยกรรมมากขึ้น
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ได้สำรวจผู้บริโภคชาวไทยในด้านเวชศาสตร์ความงาม พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ใส่ใจด้านความสวยความงาม โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y ผู้หญิง และ LGBTQIA+ ที่มีแนวโน้มให้ความสำคัญกับความสวยความงามมากขึ้นและใช้จ่ายในด้านเวชศาสตร์ความงามสูงขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจเวชศาสตร์ความงามทั้งด้านหัตถการและศัลยกรรมเสริมความงามมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องอย่างต่อเนื่อง แถมขยายฐานผู้ใช้บริการไปสู่กลุ่มผู้ชาย และ Gen Z
ผลการสำรวจ ระบุว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่กลุ่ม Gen Y ,LGBTQIA+ และ Gen Z จะใช้บริการเพื่อการรักษาและบำรุงผิวมากที่สุด ควบคู่กับการใช้บริการหัตถการประเภทอื่น และจะใช้จ่ายไม่เกิน 5,000 บาทต่อครั้ง ผู้บริโภคเลือกใช้บริการจากสถานบริการที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่างคลินิกหัตถการความงาม และโรงพยาบาลเฉพาะทาง โดยให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านราคาเป็นหลัก รวมถึงมาตรฐานความปลอดภัยทั้งจากสถานบริการและอุปกรณ์/เครื่องมือที่ใช้ให้บริการ
“จมูกและดวงตา”ศัลยกรรมยอดฮิต
ส่วนศัลยกรรมเสริมความงามจะได้รับความนิยมส่วนใหญ่ ได้แก่ ศัลยกรรมจมูกและดวงตา อีกทั้งจะทำศัลยกรรมมากกว่า 1 ประเภท โดยผู้บริโภคจะเลือกใช้บริการศัลยกรรมเสริมความงามจากโรงพยาบาลเอกชนเฉพาะทางและคลินิกศัลยกรรมตกแต่งความงามเป็นหลัก เนื่องจากมาตรฐานความปลอดภัยเป็นปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากที่สุด ขณะที่การทำศัลยกรรมในต่างประเทศก็ได้รับความนิยมค่อนข้างสูง
กลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Y และ Gen Z ให้ความสำคัญกับการทำหัตถการและศัลยกรรมความงามเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่การเจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้บริการใหม่ และยังคงรักษาฐานผู้ใช้บริการรายเดิมให้กลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่องถือเป็นโจทย์ท้าทายสำคัญของธุรกิจหัตถการและศัลยกรรมเสริมความงาม
Content อวดรวยยอดศัลยกรรมพุ่ง
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ได้เผยแพร่รายงานภาวะสังคมไตรมาส 4 ปี 2566 โดยมีบทความพิเศษหัวข้อ Influencer: เมื่อทุกคนในสังคมล้วนเป็นสื่อ ระบุว่า พัฒนาการทางโซเชียลมีเดีย (Social Media) และการสื่อสารทำให้การรับรู้ข้อมูลข่าวสารของคนในสังคมปัจจุบันเปลี่ยนจากการรับรู้ผ่าน “สื่อหลัก” เป็น“อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) หรือบุคคลทั่วไปที่มีอิทธิพลต่อความคิด และ มีกลุ่ม ผู้ติดตาม (Follower) จำนวนมาก
โดยอินฟลูเอนเซอร์ ส่วนใหญ่มักจะการสร้างค่านิยมที่ผิดต่อสังคม เช่น Content “การอวดความร่ำรวย” ข้อมูลจากการศึกษาของวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ผู้บริโภคกว่าร้อยละ 51.2 ชอบการบอกเล่าเกี่ยวกับสินค้าและบริการในลักษณะอวดแบบเปิดเผย โดยกลุ่ม Gen Z กว่าร้อยละ 74.8 เป็นผู้ที่ชอบแสดงตัวตน (Self-Presentation) มากที่สุด รวมถึงมีพฤติกรรมการอวดบนโซเชียลมีเดียในเนื้อหายอดนิยม 3 อันดับแรก ได้แก่ สินค้าแบรนด์เนม การบริการที่ประทับใจ และไลฟ์สไตล์ชีวิตประจำวัน
เหตุผลที่อยากอวด คือ เพื่อต้องการให้คนอื่นรู้ว่าตนเองมีสิ่งที่ดีที่สุด และเพื่อบ่งบอกถึงสถานะทางสังคม จนกลายเป็นกระแสหรือแคมเปญ โดยอาจส่งผลให้มี การก่อหนี้เพื่อนำมาซื้อสินค้าและบริการดังกล่าว นอกจากนี้ การนำเสนอภาพบุคคลที่ ได้รับการปรับแต่งให้ดูดีจนกลายเป็นมาตรฐานความงามที่ไม่แท้จริง (Unrealistic Beauty Standards) ซึ่งอาจสร้างค่านิยมที่ผิดให้กับสังคม โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่ทำให้เกิดความไม่พึ่งพอใจในรูปร่างของตนเอง อยากสวยอยากหล่อมากขึ้น จนทำให้เกิดการศัลยกรรมทั้งที่บางคนอยู่ในช่วงอายุที่ไม่ควรศัลยกรรม
เปิดโอกาสที่ดีแก่ชีวิต-การทำงาน
“ลภัสรดา เลิศภานุโรจ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER ในนาม โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช Specialty Hospital เล่าว่าคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจในเรื่องความสวยความงาม และการทำศัลยกรรมเพิ่มขึ้น เพราะเป็นการเปิดโอกาสทั้งเรื่องการทำงาน และการใช้ชีวิต โดยศัลยกรรมที่ได้รับความนิยม จะเป็นการทำจมูก การปรับโครงสร้างจมูกโอเพน รองลงมาจะเป็นการทำตาสองชั้น การดึงหน้า ยกคิ้ว การผ่าตัดปรับโครงสร้างหน้า ยุบโหนกตัดกราม ซึ่งการทำศัลยกรรมของคนรุ่นใหม่จะเปลี่ยนแปลงไปตามเทรนด์ในแต่ละปี
“การทำศัลยกรรมไม่ว่าจะเป็นจมูก หรือดวงตา จะเน้นปรับให้เข้ากับใบหน้าของผู้ทำศัลยกรรม มีความพอเหมาะพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป เน้นสวยแบบเป็นธรรมชาติ ทำศัลยกรรมเหมือนไม่ได้ทำ ซึ่งการทำศัลยกรรมนั้น ถือเป็นเสริมบุคลิกให้ดีขึ้น สร้างความมั่นใจมากขึ้น และเพิ่มโอกาสที่ดีให้กับตัวคนรุ่นใหม่เอง เพราะต้องยอมรับว่าการมีหน้าที่สวย หล่อ ย่อมมีโอกาสในหลายๆ เรื่อง” ลภัสรดา กล่าว
ความปลอดภัยต้องมาก่อน
ทั้งนี้การทำศัลยกรรมต้องให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัย และควรจะมีการศึกษาอย่างละเอียด เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ และสถานพยาบาลที่มีมาตรฐานทางการแพทย์และถูกต้องตามกฎหมาย ประเมินรูปแบบศัลยกรรมความงามกับแพทย์เจ้าของเคสก่อนทำอย่างลงลึก และปฏิบัติตามคำแนะนำก่อนและหลังการผ่าตัดอย่างระมัดระวัง เพราะการทำศัลยกรรมมีความเสี่ยง และการทำควรจะทำแล้วให้เกิดความสวยงาม อีกทั้งหากทำไม่ดี การปรับแก้จะมีค่าใช้จ่ายและเจ็บตัวมากกว่า
“เทรนด์การทำศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รูปจมูก ลักษณะตาที่นิยมก็แตกต่างกันในแต่ละปี ดังนั้น การจะทำศัลยกรรมให้อยู่นาน ควรจะเลือกรูปแบบ รูปทรงที่เหมาะกับตัวเอง ส่วนจะอยู่ได้นานขนาดไหนนั้น ขึ้นอยู่อายุ นิสัย การใช้ชีวิต และประเภทของการทำศัลยกรรม อาทิ การฉีดฟิลเลอร์ โบท็อกซ์บนใบหน้า อาจอยู่ได้ไม่กี่เดือน ในขณะที่การทำหน้าอก เสริมจมูก ยกคิ้ว ปลูกผม อยู่ได้นานหลายปี หากคนรุ่นใหม่สนใจทำศัลยกรรม อยากให้ศึกษารายละเอียดให้รอบด้าน หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุด” ลภัสรดา กล่าว
ช่วงอายุที่เหมาะสม“ศัลยกรรม”
“นพ.ธีรภัทร์ ใจประสาท” ศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง โรงพยาบาลสมิติเวช กล่าวว่าการทำศัลยกรรมในยุคนี้เป็นเรื่องปกติ และถือว่าได้รับความนิยมมากในทุกช่วงวัย แต่ในกลุ่มวัยรุ่นช่วงอายุ 12 – 17 ปี เป็นวัยที่การเจริญเติบโตของร่างกายไม่เต็มที่ การทำศัลยกรรมในช่วงอายุดังกล่าว ถ้ามีความจำเป็นอาจต้องพบและปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด เพราะวัยดังกล่าวถือว่ายังไม่เหมาะสม อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้
“นพ.ภีรภัทร์” กล่าวต่อว่าการทำศัลยกรรมในแต่ละส่วนของร่างกายนั้น ควรจะทำในช่วงอายุที่เหมาะสม เช่น การทำหน้าผากสำหรับผู้ที่มีหน้าผากไม่เรียบเนียน หน้าผากแคบหรือแบน ผู้ที่ต้องการเสริมหน้าผากควรมีอายุประมาณ 18-20 ปีขึ้นไป ,การทำตา ช่วงอายุที่เหมาะสมสำหรับการทำคือ 18 ปีขึ้นไป เนื่องจากดวงตาจะเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว สำหรับผู้ที่มีตาที่หย่อนเนื่องจากเซลล์ผิวหนังมีความเสื่อมสภาพมากขึ้นสามารถทำศัลยกรรมได้อีกครั้งตอนอายุตั้งแต่ 45-50 ปี ,การทำจมูก สามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป เพราะเป็นช่วงที่กระดูกโครงสร้างเจริญเติบโตเต็มที่ เมื่อทำศัลยกรรมแล้วรูปทรงที่ได้ก็จะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง
การทำริมฝีปาก เช่น การผ่าตัดริมฝีปากหนาให้บางลง การผ่าตัดยกริมฝีปากบน การทำปากให้ดูอวบอิ่ม ช่วงอายุที่สามารถทำได้คือ 18 ปีขึ้นไป,การทำกราม เพื่อทำให้ใบหน้าดูเรียว มีขนาดเล็กลง สามารถทำได้ตอนอายุ 20 ปีขึ้นไป ,การทำคาง ควรทำช่วงอายุที่เหมาะสมคือ 18 ปีขึ้นไป เพราะกระดูกจะไม่มีการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น ทำให้กระดูกไม่เกิดการเคลื่อนที่จากตำแหน่งที่เคยศัลยกรรมไว้ และการทำหน้าอก ควรทำช่วงอายุที่เหมาะสมคือ 25 ปีขึ้นไป
“นพ.ภีรภัทร์” กล่าวต่อไปว่าในช่วงวัยรุ่นอายุ 12-17 ปียังไม่เหมาะสมที่จะทำศัลยกรรม ยกเว้นว่ามีปัญหาจริงๆ เพราะไม่เช่นนั้นการศัลยกรรมอาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เพราะอวัยวะเติบโตไม่เต็มที่ และการทำศัลยกรรมเป็นการใส่วัสดุเข้าไปในร่างกาย หากร่างกายยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ วัสดุดังกล่าวจะไปกดทับเนื้อเยื่อและกระดูกบริเวณนั้นทำให้เจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ ทำให้เจ็บตัวหลายรอบ เสียเวลา และค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น
“ไม่ว่าจะเด็ก วัยรุ่น หรือวัยไหนๆ ก็ตามที่สนใจอยากทำศัลยกรรม ควรหาข้อมูลให้ละเอียดก่อนที่คิดจะทำศัลยกรรม ว่าจะทำอะไร สามารถทำได้หรือไม่ อายุเหมาะสมกับเกณฑ์รึยัง และที่สำคัญที่สุด อย่าลืมสิ่งที่สำคัญ ควรพบและปรึกษาศัลยแพทย์ตกแต่งอย่างละเอียด เพื่อการประเมิน วินิจฉัย ให้การรักษาและดูแลได้อย่างถูกต้องมีประสิทธิภาพ และสุดท้ายเด็กๆ ต้องได้รับอนุญาตและยินยอมจากผู้ปกครองด้วย”นพ.ภีรภัทร์ กล่าว
เพิ่มโอกาสกลุ่มหลากหลายทางเพศ
เพื่อเปิดโอกาสให้คนทุกเพศ ทุกวัยที่กำลังมองหางานได้มีโอกาสมีงานทำ “MASTER ในนาม โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช” จัดงาน “MASTER Job fair: LGBTQ+ Friends 2024” งานจ็อบแฟร์แห่งโอกาสการทำงานที่เท่าเทียมกันครั้งแรกของไทย ซึ่งปัจจุบัน 30% ของพนักงาน 700 คน เป็นน้องๆ กลุ่ม LGBTQ+ และมีพาสเนอร์ร่วมลงทุนประมาณ 15 บริษัทที่ให้ความสำคัญในการทำงานร่วมบนความหลากหลาย ความเสมอภาคและความเท่าเทียม
จริงๆแล้วน้องๆ กลุ่ม LGBTQ+ มีความรู้ความสามารถ มีศักยภาพอย่างมาก การจัดงาน Job fair ในปีนี้ จึงเป็นปีแรกที่จะเปิดรับน้องๆ LGBTQ+ กว่า 500 ตำแหน่ง ภายในงานจะมีกิจกรรมพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเปิดโอกาสให้แก่พวกเขา ได้แสดงศักยภาพ ความรู้ความสามารถ น้องๆ ที่สนใจทำงานกับ MASTER จะได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน สนใจเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้าถึงบ่าย 3 วันที่เสาร์ที่ 25 พ.ค.ที่รพ.มาสเตอร์พีช