'โรคสมาธิสั้น' เป็นได้ก็รักษาได้ เมื่อโตขึ้นจะหายจากโรคนี้ประมาณ 30%
อัตราความชุกของโรคสมาธิสั้นทั่วโลกอยู่ที่ประมาณร้อยละ 5 – 12 ซึ่งในประเทศไทยพบจำนวนเด็กที่มีอาการโรคสมาธิสั้นอยู่ประมาณร้อยละ 5 – 8 นั่นหมายความว่า ถ้าในห้องเรียนหนึ่งห้องมีเด็กอยู่ 40 คน แต่ละห้องจะมีเด็กที่ป่วยเป็นโรคสมาธิสั้นอย่างน้อย 2-4 คน
KEY
POINTS
- โรคสมาธิสั้น มักพบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง เพราะเด็กผู้ชายมักจะมีอาการซนอยู่ไม่นิ่ง ขณะที่เด็กผู้หญิงมักมีอาการชนิดเหม่อ ใจลอย ขี้หลงขี้ลืม ทำงานช้า ทำงานไม่เสร็จ
- 3 ความบกพร่องเกี่ยวข้องกับความสามารถในการควบคุมตัวเอง ทำให้เด็กแสดงออกด้านพฤติกรรมซุกซนไม่อยู่นิ่ง เคลื่อนไหวตลอดเวลา ขาดความยับยั้งชั่งใจตนเอง และขาดสมาธิ
- พ่อแม่อย่ากังวลใจ...เด็กสมาธิสั้น อาการจะดีขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นหรือเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ประมาณ 30% หายขาดจากโรคนี้ แต่เมื่อพบอาการควรรีบพาพบแพทย์
อัตราความชุกของ"โรคสมาธิสั้น"ทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 5 – 12 %ซึ่งในประเทศไทยพบจำนวนเด็กที่มีอาการโรคสมาธิสั้นอยู่ประมาณร้อยละ 5 – 8% นั่นหมายความว่า ถ้าในห้องเรียนหนึ่งห้องมีเด็กอยู่ 40 คน แต่ละห้องจะมีเด็กที่ป่วยเป็นโรคสมาธิสั้นอย่างน้อย 2- 4 คน
โดยพบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง เพราะเด็กผู้ชายมักจะมีอาการซนอยู่ไม่นิ่ง คุณครูมักจะสังเกตเห็นอาการได้ชัดเจนตั้งแต่ชั้น ป.1- ป.2 เด็กมักจะป่วนเพื่อนในห้องเรียน อาจรบกวนการสอนของครู แต่เด็กผู้หญิงมักจะเป็นอาการชนิดเหม่อ ใจลอย ขี้หลงขี้ลืม ทำงานช้า ทำงานไม่เสร็จ
พัฒนาการของเจ้าตัวเล็กลูกของเราบางครั้งอาจบ่งบอกความผิดปกติได้ พ่อแม่ผู้ปกครอง จึงต้องหมั่นสังเกตและอย่าปล่อยผ่านเมื่อเกิดความสงสัย โดยเฉพาะโรคสมาธิสั้น (ADHD – Attention Deficit Hyperactivity Disorder) ดังนั้น หากรู้เท่าทันและรักษาได้ทันท่วงทีย่อมช่วยให้อาการของลูกดีขึ้นและเติบโตได้อย่างมีความสุข
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
วิจัยชี้ 'เจ้าของธุรกิจ' เสี่ยงป่วยทางจิตเวชมากกว่าคนทั่วไป
รอไม่ไหว รีบร้อน ทำหลายอย่างพร้อมกัน สัญญาณเตือนภาวะ “ทนรอไม่ได้”
อาการเข้าข่าย "โรคสมาธิสั้นในเด็ก"
พญ.ปัทมาพร ทองสุขดี จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาล BMHH – Bangkok Mental Health Hospital กล่าวว่า “โรคสมาธิสั้น” จัดอยู่ในกลุ่มโรคที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการของสมอง (neurodevelopmental disorders) โดยที่เด็กจะมีความบกพร่องของสมองมาตั้งแต่เกิด ซึ่งความบกพร่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสติปัญญา แต่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการควบคุมตัวเอง ทำให้เด็กแสดงออกด้านพฤติกรรม 3 ด้าน หลัก ๆ ดังนี้
1.พฤติกรรมซุกซนไม่อยู่นิ่ง เคลื่อนไหวตลอดเวลา
-ยุกยิก ต้องหาอะไรทำ
-เหมือนเด็กที่ติดเครื่องตลอดเวลา พูดมาก พูดเก่ง
- ชอบเล่นหรือทำเสียงดังๆ
-เล่นกับเพื่อนแรงๆ เด็กกลุ่มนี้จะรู้จักกันในชื่อว่า “เด็กไฮเปอร์”
2.พฤติกรรมขาดความยับยั้งชั่งใจตนเอง
- ใจร้อน วู่วาม หุนหันพลันแล่น
- ขาดความระมัดระวังในการทำสิ่งต่าง ๆ
-พูดโพล่ง พูดแทรก
- รอคอยอะไรไม่ค่อยได้
3. พฤติกรรมขาดสมาธิ
- ว่อกแว่กง่าย เหม่อลอย จดจ่ออะไรนาน ๆ ไม่ได้
-ขี้ลืม เบื่อง่าย ไม่ค่อยรอบคอบ
-ทำงานไม่เสร็จตามเวลา
-ไม่ชอบทำงานที่ต้องอาศัยสมาธิ หรือความพยายาม
โดยเด็กบางคนอาจมีอาการเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือมีทั้ง 3 กลุ่มอาการร่วมกันก็ได้
ผู้ใหญ่ก็มีโอกาสเป็นภาวะสมาธิสั้นได้
พญ.ปัทมาพร กล่าวต่อว่า ในส่วนของผู้ใหญ่นั้นหากมีภาวะสมาธิสั้น จะมีอาการดังต่อไปนี้
- ความยุ่งเหยิงและปัญหาในการจัดลำดับความสำคัญ
- ทักษะการบริหารจัดการเวลาไม่ดี
- ปัญหาในการมุ่งสมาธิกับงาน
- มีปัญหากับการทำหลายอย่างพร้อมกัน
- ความอดทนต่ำ
- อารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย
- โมโหร้อนง่าย
- มีปัญหาในการจัดการกับความเครียด
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคสมาธิสั้น
การวิจัยในปัจจุบันพบว่า โรคสมาธิสั้นเกิดจากความบกพร่องของสารเคมีที่สำคัญบางตัวในสมอง โดยมีกรรมพันธุ์เป็นปัจจัยที่สำคัญ ประมาณ 30-40% ของเด็กสมาธิสั้นจะมีคนในครอบครัวคนใดคนหนึ่งป่วยเป็นโรคสมาธิสั้นเช่นเดียวกัน มารดาที่ขาดสารอาหาร ดื่มสุรา สูบบุหรี่ หรือได้รับสารพิษบางชนิด เช่น ตะกั่วระหว่างตั้งครรภ์ จะมีโอกาสมีลูกเป็นโรคสมาธิสั้นสูงขึ้น
ส่วนการบริโภคน้ำตาลหรือช็อกโกแลตมากเกินไป การขาดวิตามิน โรคภูมิแพ้ ไม่มีงานวิจัยพบว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคสมาธิสั้น
แต่พบว่าการดูโทรทัศน์หรือเล่นวิดีโอเกมเป็นเวลานานจะทำให้เด็กมีปัญหาสมาธิสั้น ซน อยู่ไม่นิ่งได้ เนื่องจากในขณะที่เด็กดูโทรทัศน์หรือเล่นวิดีโอเกม เด็กจะถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องโดยภาพบนจอโทรทัศน์หรือวิดีโอเกมที่เปลี่ยนทุก 2-3 วินาที จึงสามารถดึงดูดความสนใจของเด็กได้ สมาธิของเด็กมีขึ้นได้จากสิ่งเร้าภายนอกซึ่งตรงกันข้ามกับสมาธิที่เด็กต้องสร้างขึ้นมาเองระหว่างการอ่านหนังสือหรือทำงานต่างๆ เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นจะขาดสมาธิอันนี้
เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ประมาณ 30% จะหายจากโรคสมาธิสั้น
พญ.ปัทมาพร กล่าวอีกว่าพ่อแม่มักวิตกกังวลกลัวว่าลูกที่เป็นโรคสมาธิสั้นจะอยู่ร่วมกับสังคมไม่ได้ จะเจอกับปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตมากมาย อย่าเพิ่งกังวลจนเกินไป แม้ว่าโรคสมาธิสั้นจัดเป็นโรคเรื้อรังอย่างหนึ่ง แต่เด็กที่มีอาการตั้งต้นไม่มาก ได้รับการวินิจฉัยและเริ่มเข้าสู่กระบวนการรักษาตั้งแต่อายุยังน้อย พ่อแม่ คุณครู ช่วยกันดูแลช่วยเหลือฝึกทักษะต่างๆ เป็นอย่างดีและสม่ำเสมอ เด็กกลุ่มนี้ก็จะมีโอกาสดีขึ้น และเมื่อเด็กโตขึ้น เขาจะควบคุมสมาธิของตัวเองได้ และใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป โดยไม่ต้องรับประทานยาอีกต่อไป
สำหรับ การรักษาเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่าง พ่อแม่ และคุณครู เพื่อให้เด็กมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น มีสภาพจิตใจที่ดี ไม่เต็มไปด้วยบาดแผลทางใจ หรือมีปมตั้งแต่เด็ก และสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้
การรักษามีทั้งการรักษาด้วยยา การปรับพฤติกรรม การปรับวิธีการเลี้ยงดู และการดูแลช่วยเหลือในห้องเรียน หากพ่อแม่สังเกตว่าลูกมีอาการเข้าข่ายที่จะเป็นโรคสมาธิสั้น ขอให้รีบพามาพบแพทย์เพื่อประเมินอาการ เด็กที่มีอาการโรคสมาธิสั้นที่ได้รับการวินิจฉัยและรับการรักษาตั้งแต่อายุยังน้อยจะมีโอกาสที่จะหายขาดเพิ่มขึ้น
เมื่อผ่านวัยรุ่น มักจะพบว่า ประมาณ 30% ของเด็กสมาธิสั้นมีโอกาสหายจากโรคนี้ และสามารถเรียนหนังสือหรือทำงานได้ตามปกติโดยไม่ต้องรับประทานยาต่อไป ส่วนใหญ่ของเด็กสมาธิสั้นจะยังคงมีความบกพร่องของสมาธิอยู่ในระดับหนึ่งถึงแม้ว่าเด็กดูเหมือนจะซนน้อยลงและมีความสามารถในการควบคุมตนเองดีขึ้น
เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วบางคนหากสามารถปรับตัวและเลือกงานที่ไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิมากนักก็มีโอกาสประสบความสำเร็จและดำเนินชีวิตได้ตามปกติ บางคนอาจยังคงมีอาการของโรคสมาธิสั้นอยู่มากซึ่งจะมีผลเสียต่อการศึกษา การงาน และการเข้าสังคมกับผู้อื่น ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
“ฉะนั้นพ่อแม่อย่ากังวลใจ...เด็กสมาธิสั้น อาการจะดีขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นหรือเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งแม้ว่าจะหลงเหลืออาการสมาธิสั้นอยู่บ้าง ก็อาจจะได้รับประทานยาเฉพาะเวลาที่มีความจำเป็นจริงๆ เช่น ใกล้สอบ ต้องส่งรายงานสำคัญให้หัวหน้า ต้องเข้าประชุม หรือนำเสนองานสำคัญ เป็นต้น พวกเขาก็สามารถยืนอยู่ในสังคมได้อย่างเท่าเทียม” พญ.ปัทมาพร กล่าวทิ้งท้าย