รวมข้อควรรู้!! ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ระวังของปลอม
‘ความสวยความงาม ความหล่อ คงความอ่อนเยาว์’ เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ต้องการ ‘ศัลยกรรม หัตถการ’ ต่างๆ จึงเป็นทางเลือกของคนที่ต้องการยกกระชับใบหน้า หรือปรับรูปหน้าให้ดูสวย หล่อมากขึ้นกว่าเดิม
KEY
POINTS
- 'ฟิลเลอร์' เป็นสารเติมเต็มทำให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียน เต่งตึง ใบหน้าอ่อนเยาว์ลง แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช่ฟิลเลอร์ปลอม
- การฉีดฟิลเลอร์ปลอมหลังฉีดไปแล้วจะย้อยเป็นก้อนแข็ง อาจมีอาการแพ้ฟิลเลอร์ อักเสบติดเชื้อ บวมแดง ทำให้ผิวขรุขระ และบางรายมีอาการหนักอาจเนื้อตายหรือตาบอดได้
- แม้ฟิลเลอร์เป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายของคนเราอยู่แล้วและมีความปลอดภัย แต่ทั้งนี้ก็มีอาการข้างเคียงหลังฉีดเช่นกัน
‘ความสวยความงาม ความหล่อ คงความอ่อนเยาว์’ เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ต้องการ ‘ศัลยกรรม หัตถการ’ ต่างๆ จึงเป็นทางเลือกของคนที่ต้องการยกกระชับใบหน้า หรือปรับรูปหน้าให้ดูสวย หล่อมากขึ้นกว่าเดิม
ฟิลเลอร์เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองโดยองค์กรอาหารและยาจากประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ FDA เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่มีความปลอดภัยสูง และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน รู้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้องเหมาะสม วิเคราะห์ปริมาณยาและตำแหน่งที่ฉีดได้อย่างแม่นยำ และจะต้องฉีดในสถานพยาบาลที่มีมาตรฐานได้ รับอนุญาตเพราะหากฉีดโดนเส้นเลือดหรือบริเวณอื่นๆ ที่ไม่ต้องการ อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
ทั้งนี้ การฉีดฟิลเลอร์ คือ วิธีรักษาริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า ด้วยการฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid (HA) เข้าไปเติมเต็มในชั้นผิวที่เริ่มเสื่อมสภาพ และมีการยุบตัวลงเมื่ออายุมากขึ้น
ฟิลเลอร์จะทำให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียน เต่งตึง ใบหน้าอ่อนเยาว์ลง บวกกับคุณสมบัติอุ้มน้ำของฟิลเลอร์ จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง และชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ฟิลเลอร์คืออะไร ?ควรฉีดตำแหน่งไหนบ้าง?
พญ.กิตธีรา ชัยสัมฤทธิ์ผล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอายรุกรรมโรคผิวหนังและความงาม ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมเลเซอร์ รพ.วิชัยเวชฯ อ้อมน้อย กล่าวว่า ฟิลเลอร์ (Filler) เป็นสารเติมเต็ม ฟิลเลอร์เป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายของคนเราอยู่แล้ว จึงมีปลอดภัย ไม่เสี่ยงต่อการแพ้ และไม่เป็นอันตราย นอกจากนี้ยังสามารถสลายไปเองได้โดยไม่เหลือสารตกค้าง ช่วยแก้ปัญหาร่องลึกต่างๆ ทั่วใบหน้า ไม่ว่าจะเป็น ขมับตอบ แก้มตอบ ร่องใต้ตาและช่วยยกกระชับและปรับรูปหน้าให้เรียวมีมิติ
ตำแหน่งที่สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้
- สันจมูก ใช้ฟิลเลอร์เนื้อแข็งเติมสันจมูกให้ดูโด่งขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติหากไม่อยากทำศัลยกรรม
- ใต้ตา ฉีดเติมเต็มเบ้าตา ร่องน้ำตาลึก หรือแก้ไข้ให้ถุงใต้ตาดูเรียบเนียนขึ้น
- ตีนกา เติมร่องตีนกาให้ตื้นขึ้น
- รอยลึกร่องแก้มและร่องน้ำหมาก เป็นจุดที่ฉีดแล้วทำให้หน้าดูเด็กลงได้หลายปี
- คาง คนคางสั้นสามารถเติมคางให้ดูเรียวยาวขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ
- หน้าผาก ทำได้ทั้งลดริ้วรอยที่เป็นเส้นย่นๆ และเติมให้หน้าผากดูนูนเป็นทรงสวย
- ริมฝีปาก ทำให้ปากดูอวบอิ่มเป็นทรงขึ้น รวมถึงสามารถฉีดลดริ้วรอยเล็กๆรอบริมฝีปากได้
- รอยหลุมสิว ช่วยให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น ผิวเรียบเนียนขึ้น
- คอและบริเวณเนินอก ช่วยลดเลือนริ้วรอย ทำให้ผิวหนังมีความเรียบเนียนกระชับมากขึ้น
- หลังมือ ลดเลือนริ้วรอยทำให้ผิวหนังเรียบเนียนเต่งตึง จะได้ไม่ฟ้องอายุที่แท้จริง
ฟิลเลอร์ เติมจุดไหนควรใช้กี่ซีซี?
1.ฟิลเลอร์ใต้ตา
ควรฉีดยี่ห้อ Restylane Vital Light เนื่องจากลักษณะโมเลกุลมีความนุ่มมาก เหมาะที่จะใช้เติมใต้ตาจะทำให้ใต้ตาไม่แข็ง ไม่เป็นก้อน เนียนละมุนเป็นธรรมชาติ โดยปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 1-2 cc
2. ฟิลเลอร์ขมับ
ควรฉีดยี่ห้อ Juvederm Voluma เนื่องจากลักษณะโมเลกุลมีความคงตัว จึงเหมาะที่จะนำมาเติมบริเวณที่แข็งๆ โดยปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 1-4 cc
3.ฟิลเลอร์ร่องแก้ม
ควรฉีดยี่ห้อ Juvederm Ultra Plus เนื่องจากลักษณะโมเลกุลมีความนุ่ม ฟู สามารถเติมเต็มร่องต่างๆ ได้ดี ซึ่งจะทำให้ใบหน้าเต็มอิ่มมากยิ่งขึ้น โดยปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 1-4 cc
4.ฟิลเลอร์แก้มส้ม
ควรฉีดยี่ห้อ Juvederm Ultra Plus เนื่องจากลักษณะโมเลกุลมีความนุ่ม ฟู สามารถเติมเต็มแก้มให้อิ่มเต็มขึ้น จะช่วยแก้ปัญหาแก้มตอบ หรือใบหน้าไม่มีมิติได้ โดยปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 2-4 cc
5. ฟิลเลอร์ปาก
ควรฉีดยี่ห้อ Restylane Vital Light เนื่องจากลักษณะโมเลกุลมีความนุ่มมาก เหมาะที่จะใช้เติมปากให้อิ่มสวย ได้รูปทรงที่ต้องการ จะทำให้ปากไม่ดูแข็ง ไม่เป็นก้อน อวบอิ่มกำลังดี โดยปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 1-2 cc
6.ฟิลเลอร์คาง
ควรฉีดยี่ห้อ Juvederm Voluma เนื่องจากลักษณะโมเลกุลมีความคงตัว สามารถปั้นคางให้เป็นทรงต่างๆ ตามความเหมาะสมได้ จึงเหมาะที่จะนำมาเติมบริเวณที่แข็งๆ โดยปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 1-2 cc
การฉีดฟิลเลอร์เหมาะกับใคร
- ผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยที่เป็นร่องลึก
- ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยจากวัยที่เพิ่มขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตา ร่องน้ำตาลึก ใต้ตาลึกทำให้ดูคล้ำ
- ผู้ที่ต้องการแก้ไขฝีปากไม่ได้รูป หรือริมฝีปากบาง
- ผู้ที่ต้องการเติมส่วนต่างๆ บนใบหน้า เช่น จมูก หน้าผาก คาง
- ผู้ที่มีปัญหารอยหลุมสิวและรูขุมขนกว้าง
- ผู้ที่ต้องการให้ผิวชุ่มชื้นดูฉ่ำน้ำ
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์
- หยุดยาแอสไพริน ยากลุ่มต้านการอักเสบ
- งดวิตามินที่ทำให้เลือดหยุดไหลยาก เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา น้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส สารสกัดจากโสม ขิง กระเทียม ใบแปะก๊วย เป็นเวลา 2 สัปดาห์
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1-3วัน
- สุขภาพร่างกายปกติดี ไม่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- ล้างเครื่องสำอางค์ก่อยพบแพทย์
ดูแลตัวเองหลังการฉีดฟิลเลอร์
- ไม่ควรจับ ลูบคลำ นวดบริเวณที่ฉีด เพราะอาจส่งผลต่อการกระจายตัวของยา
- หลังฉีด 24 ชั่วโมง งดการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทพให้เส้นเลือดขยายตัวและทำให้รอบเข็มหายช้าลง
- ควรดื่มน้ำเปล่าให้มากกว่าปกติ จะช่วยให้ฟิลเลอร์อิ่มฟูยิ่งขึ้นและอยู่ได้นานมากขึ้น โดยเฉพาะใน 3 วันแรกหลังฉีดไปจนถึง 2 สัปดาห์หลังฉีด
- งดการออกกำลังกายหนักๆ รวมถึงการให้ใบหน้าโดนความร้อนโดยตรงเช่น การอบซาวน่า, แช่น้ำอุ่น การนวดหน้าด้วยความร้อน เป็นเวลา 2 สัปดาห์
- การอาบน้ำอุ่นเป่าผมและโดนแสงแดด สามารถทำได้ปกติ
อันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม
การฉีดฟิลเลอร์ปลอมหลังฉีดไปแล้วจะย้อยเป็นก้อนแข็ง อาจมีอาการแพ้ฟิลเลอร์ อักเสบติดเชื้อ บวมแดง ทำให้ผิวขรุขระ และบางรายมีอาการหนักอาจเนื้อตายหรือตาบอดได้
วิธีการดูฟิลเลอร์ของแท้ที่ปลอดภัย
- เลขทะเบียนอย. ที่กล่อง
- มีเอกสารกำกับภาษาไทย
- เลข lot ที่กล่อง ซองสติกเกอร์หรือหลอดตรงกัน
- สามารถนำเลข lot โทรเช็คกับบริษัทนำเข้าได้
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์ ช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอย และปรับโครงสร้างใบหน้า
- เห็นผลทันที ไม่มีรอยแผลและไม่ต้องพักฟื้น
- มีความปลอดภัย ได้รับการรับรองจากอย. ไม่ทำให้เกิดการแพ้ไม่มีสารตกค้างในร่างกาย
- สามารถเติมใหม่ได้เรื่อยๆ หรือฉีดสลายออกโดยไม่เป็นอันตราย
- แก้ไขในจุดที่เป็นปัญหาได้อย่างแม่นยำ ให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ
- ใช้แก้ไขปัญหาจุดที่ต้องการความละเอียดสูงได้ดี เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม
อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์
อาจมีรอยแดงจากเข็ม และหายเองได้ใน 2-3 วันและจะมีอาการบวมหลังฉีดซึ่งสามารถหายบวมเองได้ประมาณ 7-14 วัน ฟิลเลอร์จะเข้าที่และเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
ข้อปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์
- หลีกเลี่ยงการแตะ แกะ เกาบริเวณที่ฉีด และอาจมีอาการบวมแดงหรือเขียวช้ำเป็นปกติและจะค่อยๆดีขึ้นใน 2-3 วัน
- หากก่อนทำไม่ได้รับประทานยาฆ่าเชื้อ หลังทำควรรีบกินยาฆ่าเชื้อทันที
- ควรอยู่ในที่อาการเย็น หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดและกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดงอย่างน้อย 48 ชม. เช่น ซาวน่า หรือการออกกำลังกายอย่างหนัก
- งดเลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิดอย่างน้อย 1 เดือน
- อย่าขยับผิวในจุดที่ทำมากโดยเฉพาะ 3 วันแรก เพราะจะทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ได้
- ควรงดรับประทานอาหารบางอย่างที่ส่งผลต่อการอักเสบ บวมและทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่ช้า เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด อาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อนๆ อาการหมักดอง หรืออาหารรสจัด และงดสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ยุบช้า
อ้างอิง: โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล อ้อมน้อย ,โรงพยาบาลบางปะกอก ,โรงพยาบาลศิครินทร์