‘ภาวะมีบุตรยาก’ดันตลาดโต“นครธน”ตั้งเป้ารายได้2พันล้าน

เมื่อเร็วๆนี้ “ศูนย์นครธน กิฟท์ เฟอร์ทิลิตี้”  บริษัท โรงพยาบาลนครธน จำกัด (มหาชน)ได้เปิดให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากอย่างเต็มรูปแบบ โดยใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยให้ผู้มีบุตรยากตั้งครรภ์ได้สำเร็จ หลังจากที่ให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากเป็นเวลา 10 กว่าปี  ล่าสุดมีผู้ใช้บริการประมาณ 1,400 รายเติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมา 10%

ศูนย์แห่งนี้เป็นการร่วมทุนระหว่าง บริษัท โรงพยาบาลนครธน จำกัด (มหาชน) และบริษัท กิฟท์ เฟอร์ทิลิตี้ จำกัด เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่ประสบปัญหามีบุตรยาก ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ  โดยมีทีมแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ และทีมนักวิทยาศาตร์ที่มีประสบการณ์ใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ทันสมัยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา และช่วยให้บุตรที่เกิดมามีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

‘มีบุตรยาก’ ดันตลาดท่องเที่ยวโต คาดปี 70 มูลค่า 3.36 หมื่นล้านเหรียญ

"ภาวะมีบุตรยาก" วาระสำคัญของชาติ กระทบโครงสร้างประชากร

คนไทยและต่างชาติประสบปัญหามีบุตรยากเพิ่มมากขึ้น

"พญ.ศิเรมอร ทองสิมา" ผู้อำนวยการสายงานแพทย์ บริษัท โรงพยาบาลนครธน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยและชาวต่างชาติประสบปัญหามีบุตรยากและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในอนาคต โดยมีสาเหตุจากหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม อาทิ อัตราการมีคู่ครองและการแต่งงานที่ลดลง ความเครียดจากการทำงาน, อาการเจ็บป่วย และปัญหาด้านสุขภาพ ฯลฯ 

ส่งผลให้มีความต้องการใช้บริการและพึ่งพาเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีความทันสมัยและปลอดภัย เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว(IVF, ICSI)เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์, การตรวจคัดกรองและวินิจฉัยความผิดปกติของโครโมโซมด้วยวิธี NGS (Next Generation Sequencing)เพื่อเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้อย่างมีคุณภาพ และเติมเต็มความฝันการมีบุตร

 "ศูนย์แห่งนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้อย่างมีคุณภาพ ตั้งแต่การวิเคราะห์ด้วยเครื่องตรวจคุณภาพน้ำเชื้อ Semen Quality Analyzer ประมวลผลด้วยระบบ AI คัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงมาปฎิสนธิกับไข่ ดูแลตัวอ่อนด้วยระบบปิดผ่านเครื่องเพาะเลี้ยง EmbryoScope Plus สร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของตัวอ่อน ประเมินโอกาสที่ตัวอ่อนจะฝังตัว และพัฒนาไปเป็นการตั้งครรภ์ที่ประสบความสำเร็จ ในเบื้องต้นจะเน้นบริการชาวไทยเป็นหลัก ส่วนต่างชาติ ที่มองไว้จะเน้นไปที่ จีน และเมียนมา"

ไทยศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้นำยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Thailand: A Hub of Wellness and Medical Services) 4 ด้านคือ1. ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub)2. ศูนย์กลางบริการเพื่อสุขภาพ (Medical Service Hub)3. ศูนย์กลางบริการวิชาการและงานวิจัย (Academic Hub)4. ศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Product Hub)จะช่วยส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของประเทศไทย ให้ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

มีการคาดการณ์ว่าตลาดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ จะมีมูลค่าตลาดสูงถึง 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปี 2575 ซึ่งคิดเป็นเงินไทยจำนวน 11 ล้านล้านบาท (1USD = 32THB) ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ร้อยละ 11 โดยตลาดในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิกจะเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก และยุโรปจะเป็นตลาดที่มีการเติบโตเร็วที่สุด     

“พญ.ศิเรมอร”อธิบายเสริมว่าโดยทั่วไปอัตราความสำเร็จการให้บริการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากอยู่ที่ประมาณ 30-40 % หากมีการนำเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์, ตั้งแต่การวิเคราะห์ด้วยเครื่องตรวจคุณภาพน้ำเชื้อ Semen Quality Analyzer ประมวลผลด้วยระบบ AI คัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงมาปฎิสนธิกับไข่ ดูแลตัวอ่อนด้วยระบบปิดผ่านเครื่องเพาะเลี้ยง EmbryoScope Plusสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของตัวอ่อนประเมินโอกาสที่ตัวอ่อนจะฝังตัว และพัฒนาไปเป็นการตั้งครรภ์ที่ประสบความสำเร็จประมาณ 50-70% 

ซึ่งรพ.นครธนมีความพร้อมให้บริการโรคยากและซับซ้อนและมีศูนย์เฉพาะทาง  21 ศูนย์ โดยปี 2564 มีรายได้ 1,551.67 ล้านบาท ปี 2565 รายได้ 1,963.05 ล้านบาท (เติบโต 20% จากปี64) และปี 2566 รายได้ 2,036.89 ล้านบาท (เติบโต 3.7% จากปี65 โดยปี 2567 คาดว่าจะไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา

ตั้งเป้าโตในไทยเน้น“สุขภาพผู้หญิง”

ด้าน “ไลโอเนล โชห์ วี ฉัว” ประธานกรรมการ บริษัท กิฟท์ เฟอร์ทิลิตี้ จำกัด ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ”ว่า ความร่วมมือในครั้งนี้เพื่อส่งเสริม Medical Tourism Hub ในภูมิภาคนี้ ซึ่งการรักษาเกี่ยวกับการเจริญพันธุ์ของกิฟท์ เฟอร์ทิลิตี้ไม่ได้เน้นแต่กลุ่มนักท่องเที่ยว แต่ยังมุ่งเน้นให้การดูแลรักษาที่ดีที่สุขสำหรับคู่รักในประเทศไทยที่ต้องการมีบุตร ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าคนไทยที่มาขอคำปรึกษาที่ต้องการเริ่มต้นครอบครัวนำเสนอทางเลือกด้านการรักษาที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าคนไทย

" Health Care และสุขภาพและการรักษาเกี่ยวกับผู้หญิง กำลังเติบโตความร่วมมือในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่รวมถึงแพทย์ และพนักงาน และองค์ความรู้ แบ่งปันกันและเรียนรู้ด้วยกัน เพื่อพัฒนามาตรฐานการรักษา เทคโนโลยีการปฏิบัติทางคลินิก ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่แลกเปลี่ยนด้านเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ใหม่ ๆ หรือทักษะด้านต้่างๆ เนื่องจากอุตสาหกรรมนี้เป็นอุตสาหกรรมระดับโลกจะมีการจัดการประชุมร่วมกับแพทย์และเจ้าหน้าที่ในประเทศไทยเพื่อนำความรู้ไปใช้ในการดูแลทางคลินิก เพื่อเติบโตต่อไปในประเทศไทย"

บริษัท กิฟท์ เฟอร์ทิลิตี้ จำกัด มีทุนจดทะเบียนปัจจุบัน 24,780,000 บาทมีผู้ถือหุ้นประกอบด้วย บริษัท ไอบิส เฟอร์ทิลิตี้ จำกัด, บริษัทไอบิส (ไทยแลนด์) พีทีอี แอลทีดี,และบุคคล  3 ราย ศรายุธ อัสสมกร ,โซห์ ญิง เฉิน เจสสิกาและ ไลโอเนล โชห์ วี ฉัวโดยบริษัท กิฟท์ เฟอร์ทิลิตี้ จำกัด ถือหุ้น ในคลินิก กิฟท์ติด ไอ วี เอฟ อุดรธานี จำกัด ให้บริการด้านการช่วยมีบุตรการปฏิสนธิเทียมนอกร่างกาย และบริษัท กิฟท์ ไอดับบลิวซี วีเมน เฮลท์ จำกัด ให้บริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ ให้คำปรึกษา วางแผน วินิจฉัยการดำเนินการช่วยมีบุตร อีกด้วย

ไลโอเนล โซห์ วี ฉัว ยังเป็นกรรมการบริษัท.กิฟท์ ไอดับบลิวซี วีเมน เฮลท์ จำกัด ให้บริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ ให้คำปรึกษา วางแผน วินิจฉัยการดำเนินการช่วยมีบุตร,คลินิก กิฟท์ติด ไอ วี เอฟ อุดรธานี จำกัด ให้บริการด้านการช่วยมีบุตรการปฏิสนธิเทียมนอกร่างกาย ,และ บริษัทลงทุนในธุรกิจการเงินที่เป็นหลักประกอบด้วย แฟมมิลี่ เวท แคร์ กรุ๊ป จำกัด,ไอบิส เฟอร์ทิลิตี้ จำกัดและไอบิส เฮลท์แคร์ จำกัด

สถานการณ์การมีบุตรในต่างประเทศ

อัตราการเจริญพันธุ์เฉลี่ยทั่วโลก ปี 2553 ถึงปี 2563 จาก World Bank พบว่า ปัจจุบัน สถานการณ์การมีบุตรในระดับโลก มีอัตราการเจริญพันธุ์เฉลี่ยอยู่ที่ 2.3 และหากจำแนกตามทวีป จะมีเพียงทวีปแอฟริกาทวีปเดียวที่มีอัตราการเจริญพันธุ์ทั้งมวลมากกว่า 4 ส่วนทวีปยุโรปเป็นทวีปที่มีอัตราการเจริญพันธุ์ทั้งมวลอยู่ในระดับต่ำที่สุด และทวีปอเมริกาเหนืออยู่ในระดับต่ำรองลงมา ซึ่งทั้งสองทวีป มีอัตราการเจริญพันธุ์ที่น้อยกว่าภาวะเจริญพันธุ์ระดับทดแทน

ปัจจุบันจีนใช้นโยบายกระตุ้นให้ประชากรมีลูกเพิ่ม เป็นสามคน หลังจากปรับใช้เป็นนโยบายลูกสองคน ในปี ค.ศ. 2016เนื่องจากเกรงว่าจะเข้าสู่สังคมสูงอายุอาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์

คู่สมรสต่างชาติทั้งคู่ทำอุ้มบุญได้

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.)กำลังดำเนินการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขพรบ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 หรือกฎหมายอุ้มบุญโดยมีการกำหนดให้สามารถดำเนินการได้ในคู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายก็สามารถทำอุ้มบุญได้รวมทั้งร่างพ.ร.บ. คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.… ฉบับใหม่ ได้แก่

1.แก้ไขคุณสมบัติผู้รับบริจาคไข่ ให้ญาติสืบสายโลหิตของภริยา ที่มีอายุระหว่าง 20 – 40 ปี และไม่จำเป็นจะต้องผ่านการสมรสสามารถเป็นผู้บริจาคไข่ได้

2.การตรวจวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมในตัวอ่อนของภริยาที่มีอายุ 35 ปี สามารถตรวจวินิจฉัยได้ตามที่แพทย์หรือผู้ให้บริการเห็นว่ามีความจำเป็นและสมควร

3.การปรับแก้เพดานอายุหญิงที่เป็นภรรยาที่ประสงค์ให้มีการตั้งครรภ์แทนโดยหญิงอื่น หรือการให้หญิงอื่นอุ้มท้องแทน อายุมากกว่า 55 ปี สามารถดำเนินการได้

4. อนุญาตให้ชาวต่างชาติ ที่เป็นคนต่างชาติทั้งคู่ เข้ามารับบริการทำอุ้มบุญในประเทศไทย 

5.การพัฒนาระบบประกันสุขภาพ สำหรับกรณีการตั้งครรภ์แทน สร้างความเชื่อมั่น และเป็นจุดดึงดูดในการตัดสินใจเข้ารับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ของประเทศไทย รวมทั้งทำประกันของหญิงตั้งครรภ์