'ปวดหลัง'อย่าปล่อยผ่าน! เสี่ยง 'มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัยอิโลมา'

'ปวดหลัง'อย่าปล่อยผ่าน! เสี่ยง 'มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัยอิโลมา'

‘อาการปวดหลัง’ เป็นอีกหนึ่งอาการที่ใครๆ ก็เคยประสบพบเจอ ยิ่งกลุ่มคนวัยทำงานที่ต้องนั่งหน้าจอนานๆ หรือ กลุ่มที่ต้อง ใช้แรง  ใช้หลังมากเกินไป ความเสื่อมของร่างกาย อุบัติเหตุ 

KEY

POINTS

  • โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัยอิโลมาหรือเอ็มเอ็ม เป็นโรคมะเร็งทางโลหิตวิทยาที่เกิดจากการเพิ่มจำนวนของเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งในไขกระดูก และสร้างโปรตีนที่ผิดปกติออกมาในกระแสเลือด
  • หากอาการปวดหลังหรือปวดกระดูกเรื้อรัง รับประทานยาแล้วไม่ดีขึ้น ร่วมกับมีอาการซีด อ่อนเพลีย ทำการตรวจเลือดพบ มีภาวะไตวาย ระดับแคลเซียมสูง อาจเสี่ยงโรคเอ็มเอ็ม
  • โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัยอิโลมาถือว่าเป็นโรคเรื้อรัง ไม่หายขาด อัตราการรอดชีวิตเฉลี่ยของผู้ป่วยเอเชียอยู่ที่ประมาณ 4 ปี การรักษาจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างทั้งของตัวโรคและผู้ป่วย

ปวดหลัง’ เป็นอีกหนึ่งอาการที่ใครๆ ก็เคยประสบพบเจอ ยิ่งกลุ่มคนวัยทำงานที่ต้องนั่งหน้าจอนานๆ หรือ กลุ่มที่ต้อง ใช้แรง  ใช้หลังมากเกินไป ความเสื่อมของร่างกาย อุบัติเหตุ  ซึ่งหลายคนอาจปล่อยผ่านและมองว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย  แต่จริงๆ แล้วบางครั้ง‘อาการปวดหลัง’ก็ไม่ใช่เรื่องปกติเสมอไป เพราะนั้นอาจเป็นสัญญาณเตือนที่บ่งชี้ถึงความผิดปกติบางอย่าง และก่อให้เกิดโรคร้ายได้

"มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัยอิโลมา หรือที่เรียกกันว่า โรคเอ็มเอ็ม (Multiple myeloma หรือ MM)" เป็นอีกหนึ่งโรคร้ายที่หลายคนยังไม่คุ้นเคยนัก โดยโรคดังกล่าวเป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดความผิดปกติของร่างกายและส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตได้

“โรคเอ็มเอ็ม” เป็นมะเร็งทางโลหิตวิทยาที่เกิดจากการแบ่งตัวเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติของเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า พลาสมาเซลล์ (plasma cell) ในไขกระดูก ทำให้มีการสร้างโปรตีนที่ผิดปกติออกมาในกระแสเลือด (Monoclonal protein หรือ เอ็ม-โปรตีน) ทำให้มีอาการได้แก่ ซีด ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ไตวาย ระดับแคลเซียมในเลือดสูง เป็นต้น

การที่เซลล์มะเร็งสร้างเอ็ม-โปรตีนออกมาในเลือดมากมายนี่เอง จึงใช้เป็นตัววินิจฉัยโรคได้ โดยเราสามารถตรวจพบเอ็ม-โปรตีนได้โดยวิธีการตรวจแยกโปรตีนทางห้องปฏิบัติการ (Electrophoresis)

ซึ่ง M-protein ที่เซลล์มะเร็งสร้างขึ้น เป็นตัวที่ใช้ตรวจชี้วัดการเป็นโรคมะเร็ง และใช้ติดตามการรักษาโรคด้วย โดยเราสามารถตรวจพบเอ็ม-โปรตีนได้โดยวิธีการตรวจแยกโปรตีนทางห้องปฏิบัติการ (Electrophoresis)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

“ปวดหลัง” ที่ไม่ใช่แค่ปวดหลัง แต่คือ "เนื้องอกไขสันหลัง"

โรงงานผลิตเซลล์บำบัด เพิ่มโอกาสผู้ป่วย 'มะเร็ง-พันธุกรรม'

4 อาการโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัยอิโลมา

ผศ.นพ.เอกรัฐ รัฐฤทธิ์ธำรง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ กล่าวว่า โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัยอิโลมา หรือเอ็มเอ็ม (multiple myeloma; MM) เป็นโรคมะเร็งทางโลหิตวิทยาที่เกิดจากการเพิ่มจำนวนของเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า พลาสมาเซลล์ (plasma  cell) ในไขกระดูก และสร้างโปรตีนที่ผิดปกติออกมาในกระแสเลือด ทำให้เกิดอาการสำคัญของโรค 4 ประการได้แก่

  • ซีด
  • ไตวาย
  • ระดับแคลเซียมในเลือดสูง
  • ปวดกระดูก ปวดหลัง

ส่วนใหญ่เป็นโรคมะเร็งที่มีการดำเนินโรคแบบค่อยเป็นค่อยไป

การระบาดวิทยาของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัยอิโลมา

พบผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ  0.5-1คนต่อประชากร  1แสนคน คิดเป็นร้อยละ 1 ของมะเร็งทั้งหมด โรคนี้พบในผู้ใหญ่  ในประเทศไทยพบว่าอายุเฉลี่ยเท่ากับ 59ปี (โดยพบได้ตั้งแต่อายุ 19-95ปี) และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายเล็กน้อย  

มะเร็งไขกระดูกมัยอิโลมา (Multiple Myeloma) เป็นมะเร็งของเม็ดเลือดพลาสมาเซลล์ (Plasma Cell) มักพบในผู้สูงอายุ โดยอายุเฉลี่ยเมื่อวินิจฉัยประมาณ 60 – 70 ปี พบน้อยในผู้ป่วยที่อายุต่ำกว่า 40 ปี

สาเหตุโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัยอิโลมา

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนของโรคแต่มีสมมุติฐานว่าอาจเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อมบางอย่างได้เช่น การใช้ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช สารเคมีบางชนิด การสัมผัสสารกัมมันตรังสี จึงยังไม่มีแนวทางป้องกันโรคนี้อย่างชัดเจน    

แม้ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาใดที่ทำให้โรคมะเร็งไขกระดูกมัยอิโลมาหายขาดได้ แต่ถือเป็นโรคที่รักษาได้ และมีความเจริญก้าวหน้าในการรักษาอย่างก้าวกระโดด และพบว่าผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

สาเหตุของโรค

  • มะเร็งไขกระดูกมัยอิโลมา (Multiple Myeloma) ยังไม่พบสาเหตุแน่นอนในการเกิดโรค
  • ผู้ป่วยที่พบโปรตีนผิดปกติในเลือดมาก่อนโดยไม่มีอาการ (Monoclonal Gammopathy of Undetermined Significance – MGUS) มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งไขกระดูกมัยอิโลมา (Multiple Myeloma) โดยเฉลี่ยประมาณ 1% ต่อปี

กลไกการเกิดโรคและอาการของโรค

ในภาวะปกติพลาสมาเซลล์มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย แต่เมื่อพลาสมาเซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็งแล้ว  จะไม่สามารถสร้างสารภูมิคุ้มกันปกติออกมาได้  แต่จะสร้างโปรตีนและหลั่งสารผิดปกติออกมาแทนทำให้เกิดอาการของโรคได้แก่

  • ภาวะซีดจากการที่เซลล์มะเร็งไปแทนที่เซลล์เม็ดเลือดแดงปกติในไขกระดูก และหลั่งสารซึ่งลดการสร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
  • ภาวะไตวาย จากโปรตีนผิดปกติที่เซลล์มะเร็งหลั่งออกมามีพิษต่อไต ทำให้ไตวาย มีอาการบวม ปัสสาวะออกน้อย อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน
  • อาการปวดกระดูก กระดูกหักง่าย จากการที่เซลล์มะเร็งหลั่งสารเพิ่มสลายกระดูกและลดการสร้างกระดูก นอกจากนี้ทำให้มีระดับแคลเซียมในเลือดสูง ทำให้มีอาการซึมได้ 

อาการปวดหลัง-ปวดกระดูก เป็นโรคเอ็มเอ็ม

แพทย์จะสงสัยโรคนี้ ถ้าผู้ป่วยมีอาการปวดหลังหรือปวดกระดูกเรื้อรัง รับประทานยาแล้วไม่ดีขึ้น อาจมีอาการปวดในช่วงกลางคืน ร่วมกับอาการอื่นของโรคโดยเฉพาะอาการซีด อ่อนเพลีย ทำการตรวจเลือดแล้วพบว่า มีภาวะไตวาย ระดับแคลเซียมสูง หรือมีโปรตีนในเลือดสูงกว่าปกติ ทำการเอ็กซเรย์กระดูกพบความผิดปกติที่เข้าได้กับโรค นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการร่วมของโรคมะเร็งทั่วไปเช่น เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ในกรณีที่มีกระดูกหักในตำแหน่งซึ่งพบไม่บ่อยหรือไม่สัมพันธ์กับอุบัติเหตุก็จะทำให้สงสัยโรคนี้เช่นกัน

การตรวจวินิจฉัยโรค

  • ตรวจนับเม็ดเลือด มักพบภาวะซีด หรือเกล็ดเลือดต่ำได้ ถ้าอาการรุนแรงสามารถพบมะเร็งพลาสมาเซลล์ในเลือดได้ เรียกว่า ลูคีเมียของพลาสมาเซลล์ (Plasma Cell Leukemia)
  • ตรวจเลือดเพื่อดูชนิดและระดับของเอ็มโปรตีน (M Protein) และอิมมูโนโกลบูลินตัวอื่น ๆ  รวมไปถึงระดับ Serum Free Light Chain
  • ตรวจเลือดทางชีวเคมีเพื่อประเมินการทำงานของไต รวมถึงค่าระดับแคลเซียมและเกลือแร่อื่น ๆ
  • ตรวจไขกระดูกเพื่อประเมินจำนวนมะเร็งพลาสมาเซลล์ รวมไปถึงการตรวจโครโมโซมจากไขกระดูกเพื่อวางแผนการรักษา
  • เอกซเรย์กระดูกเพื่อประเมินสภาพกระดูกก่อนการรักษา (Skeleton Survey)
  • ตรวจปัสสาวะที่เก็บรวมใน 24 ชั่วโมง เพื่อตรวจหาเอ็มโปรตีน (M Protein) ในปัสสาวะ

การบำบัดรักษาโรค

  • การรักษาหลักเป็นการให้ยาเคมีบำบัด โดยจะพิจารณาขึ้นกับอายุและสภาพร่างกายของผู้ป่วยเป็นหลัก
  • ยาชนิดใหม่ (Novel Therapy) ที่รักษาโรคมะเร็งไขกระดูกมัยอิโลมาในปัจจุบันให้การตอบสนองดีมากเมื่อเทียบกับยาเคมีแบบเก่า ยาชนิดใหม่ที่ใช้บ่อยได้แก่ ยากลุ่ม Proteasome Inhibitor  และ Immunomodulator
  • การใช้ยารักษาในปัจจุบันรวมไปถึงการใช้ยาเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของโรค (Maintenance) หลังจากที่โรคเข้าสู่ภาวะโรคสงบแล้ว พบว่าทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวขึ้น
  • การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากตัวเอง (Autologous Stem Cell Transplantation) หลังจากให้ยาเคมีบำบัด จะพิจารณาในผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 65 ปีที่มีสภาพร่างกายพร้อมและไม่มีโรคประจำตัวอื่นร้ายแรง อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 65 ปีที่สภาพร่างกายพร้อม แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมเป็นราย ๆ ไป
  • การฉายแสง ในกรณีที่ก้อนพลาสมาไซโตมา (Plasmacytoma) ใหญ่ไปเบียดกดอวัยวะอื่น ๆ หรือมีอาการปวดรุนแรงจากกระดูกหัก
  • การให้ยาเพิ่มความแข็งแรงกระดูก ซึ่งเป็นยาในกลุ่มบิสฟอสฟาเนท (Bisphosphanate) เพื่อป้องกันการทำลายเพิ่มเติมของกระดูกจากตัวมะเร็ง
  • การฉีดซีเมนต์หรือใช้บอลลูนถ่างเพื่อค้ำยันกระดูกสันหลังที่หัก (Kyphoplasty or Vertebroplasty) เพื่อลดอาการปวดจากกระดูกสันหลังที่หัก

อย่างไรก็ตาม โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัยอิโลมาถือว่าเป็นโรคเรื้อรัง ไม่หายขาด อัตราการรอดชีวิตเฉลี่ยของผู้ป่วยเอเชียอยู่ที่ประมาณ 4 ปี การรักษาจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างทั้งของตัวโรคและผู้ป่วยเช่น อายุ สุขภาพโดยรวม ภาวะโรคอื่นๆที่เป็นร่วมด้วย ผู้ป่วยอายุน้อยและมีสุขภาพแข็งแรงสามารถรักษาด้วยยาเคมีบำบัดและปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดได้ เพื่อทำให้โรคสงบนานที่สุด

ส่วนผู้ป่วยสูงอายุอาจให้การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดขนาดต่ำซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนิดรับประทาน ร่วมกับการรักษาประคับประคองเช่น การให้เลือดในกรณีที่มีอาการซีด การให้ยาเพื่อลดการทำลายกระดูก การให้ยาแก้ปวดในกรณีที่มีอาการปวดกระดูกเป็นต้น การรักษาด้วยการฉายแสงหรือผ่าตัดอาจทำในบางกรณีเพื่อลดอาการจากโรคเฉพาะที่

อ้างอิง : สมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย ,โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพวัฒโนสถ