'นอนละเมอ' อันตรายกว่าที่คิด เรื่องใกล้ตัวที่ควรเร่งรักษา

‘อาการนอนละเมอ’ อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกถึงคุณภาพการนอน ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่ไม่ค่อยดีนัก และการละเมอบางอย่างยังทำให้เกิดอันตรายได้มากกว่าที่ใครหลายคนคิด
KEY
POINTS
- อาการละเมอเกิดขึ้นในขณะที่สมองของคนเราหลับลึกและมีการเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหัน โดยจะมีคลื่นไฟฟ้าแบบการตื
‘อาการนอนละเมอ’ อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกถึงคุณภาพการนอน ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่ไม่ค่อยดีนัก และการละเมอบางอย่างยังทำให้เกิดอันตรายได้มากกว่าที่ใครหลายคนคิด
หลายคนต่างรู้จักกับอาการ"นอนละเมอ" และบางคนมองว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้คิดจะแก้ปัญหาอาการเหล่านี้ แถมบางคนอาจมองเป็นเรื่องขำขันถ้ามีเพื่อนหรือคนใกล้ชิดนอนละเมอ ทั้งที่จริงๆ แล้ว อาการละเมอเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกถึงคุณภาพการนอนหลับ และเป็นความผิดปกติของการนอนหลับ
อาการนอนละเมอหากไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องอันตราย แต่ก็มีพฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดอันตรายกับตนเองได้ เช่น ละเมอเดินขึ้นลงบันได ละเมอเดินออกไปนอกบ้าน ละเมอปีนหน้าต่าง ฯลฯ ถ้าคนใกล้ตัวมีอาการละเมอที่เสี่ยงกับความอันตรายแบบนี้ ควรรีบพาไปพบแพทย์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
นอนน้อย อดนอนบ่อย อ่อนเพลียเรื้อรัง ระวังแก่เร็ว!!!
'นอนกัดฟัน' เรื่องเล็กๆ ที่น่ารำคาญ ส่งผลเสียต่อสุขภาพปากและฟัน
นอนละเมอ บ่งบอกปัญหาการนอน
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าคนเรานอนเพียงแค่เพื่อการพักผ่อนหลังจากทำงานมาเหน็ดเหนื่อยทั้งวัน ด้วยเหตุผลนี้จึงมีคนหลายคนนอนกลางวันหลังจากอ่อนเพลียจากการทำงานช่วงเช้า โดยไม่รู้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการนอนหลับในช่วงกลางคืน บางคนเข้าใจผิดว่ายิ่งนอนมากยิ่งดี อันที่จริงการนอนมากเกินไปกลับมีผลเสียด้วยซ้ำ
ปัจจุบันความผิดปกติจากการนอนหลับ เช่น อาการนอนกรน นอนไม่หลับ หรือการเคลื่อนไหวผิดปกติขณะนอนหลับ พบมากขึ้นเรื่อย ๆ และได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ซึ่งความผิดปกติเหล่านี้ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้องโดยแพทย์เฉพาะทางเพื่อค้นหาโรคซ่อนเร้น
ตัวอย่างเช่น โรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea: OSA) ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหลอดเลือดสมองอุดตันหรือหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น
ปัจจัยที่มีผลต่อการนอน
- ระยะเวลาการนอน (duration)
โดยทั่วไประยะเวลาในการนอนที่เหมาะสมนอกจากจะขึ้นอยู่กับอายุแล้ว ยังแตกต่างกันในแต่ละบุคคล โดยทั่วไปเด็กต้องการระยะเวลาในการนอนมากกว่าผู้ใหญ่
- คุณภาพการนอน (quality)
ถ้าคนเรานอนหลับไม่ลึกพอ โดยส่วนใหญ่จะรู้สึกไม่สดชื่นเวลาตื่นขึ้นมาตอนเช้า (unrested sleep) ระบบความจำอาจไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ทำให้จำอะไรที่เรียนรู้มาไม่ค่อยได้ดีนัก
- เวลาเข้านอน – ตื่นนอน (sleep – wake time)
บางคนที่เปลี่ยนเวลาเข้านอนบ่อย เช่น นอนดึกตื่นสายช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ มักจะมีปัญหาเรื่องการนอนในวันที่เริ่มทำงานในช่วงต้นของสัปดาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันจันทร์ เนื่องจากจะต้องปรับตัวให้ตื่นเช้าขึ้น โดยอาจส่งผลให้มีอาการง่วงนอนในช่วงเวลาทำงานในตอนกลางวัน และถ้าในวันนั้นง่วงมากทนไม่ไหวจนต้องนอนหลับในช่วงเย็นก็อาจมีผลให้นอนไม่ค่อยหลับในคืนนั้น
สาเหตุของการนอนละเมอ
สาเหตุของการนอนละเมอ เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย
- การนอนหลับที่ไม่เพียงพอ
- ความเครียดและความวิตกกังวล อาจทำให้ละเมอทำหรือพูดในสิ่งนั้นๆ ออกมา
- การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป จนทำให้ไม่รู้ตัวว่านอนไปตอนไหน
- อาการป่วยหรือมีไข้สูง (โดยเฉพาะเด็กเล็ก) มีโอกาสทำให้มีอาการเพ้อระหว่างนอน หรือละเมอพูดเรื่องต่างๆ ได้
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่ให้ฤทธิ์กล่อมประสาท
- กรรมพันธุ์ ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญในเรื่องนี้เช่นกัน
- การนอนละเมอในวัยเด็กจะสามารถหายไปได้เองเมื่อโตเข้าสู่วัยรุ่น จึงไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา หากไม่ถึงขั้นเกิดอันตรายกับตัวเอง แต่สำหรับผู้ใหญ่สามารถป้องกันการนอนละเมอได้
การนอนละเมอในทางการแพทย์
แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ
- ละเมอหลับฝัน (REM Parasomnia)
การละเมอรูปแบบนี้สมองยังคงทำงานอยู่ มักจะเกิดขึ้นขณะกำลังฝัน เชื่อมต่อมาจากเหตุการณ์ในฝัน เช่น เดิน ยืน เต้น เป็นต้น ไม่ใช่เพียงเด็กเท่านั้นที่จะเกิดอาการละเมอแบบนี้ ในผู้ใหญ่เองก็พบอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน ที่สำคัญถ้าเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ ควรรีบพาไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านการนอนหลับ เพราะอาจจะเกิดจากความผิดปกติของสมองและอาจเกิดอันตรายตอนละเมอได้
- ละเมอหลับเงียบ (Non-REM Parasomnia)
การละเมอรูปแบบนี้สมองไม่ได้ทำงานเพิ่มขึ้นมากนักจากการนอน เพราะมักจะเกิดขึ้นในช่วงหลับลึก อาการละเมอรูปแบบนี้มักเกิดขึ้นในเด็ก มีอาการลุกขึ้นมานั่ง กรีดร้อง แต่พอตื่นขึ้นมาจะจำอะไรไม่ได้
ไม่ใช่ทั้งละเมอหลับฝัน หรือละเมอหลับเงียบ มีอาการทั้ง ละเมอพูด ละเมอสบถคำต่างๆ เป็นอาการที่เกิดได้กับทุกช่วงอายุ สันนิษฐานว่าเกิดจากความเครียด และจิตใต้สำนึกตอนนอน
อาการละเมอ แบ่งระยะตามระยะการหลับ
ผศ. พญ.ลัลลิยา ธรรมประทานกุล สาขาวิชาประสาทวิทยา ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า การละเมอเกิดขึ้นในขณะที่สมองของคนเราหลับลึกและมีการเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหัน โดยที่การเปลี่ยนแปลงนั้นคือมีคลื่นไฟฟ้าแบบการตื่นเข้ามาผสม ทำให้เวลาละเมอเป็นภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น มักเจอได้บ่อยในเด็ก จึงคาดว่าสาเหตุของการละเมอนั้นอาจมาจากสมองที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ จึงมีความเสี่ยงที่จะละเมอ
นอกจากเรื่องของพัฒนาการทางสมอง ในส่วนของพันธุกรรมก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการละเมอ หากพ่อแม่มีอาการละเมอ เด็กคนนั้นจะมีโอกาสละเมอมากกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว ส่วนปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้องกับการละเมอ ได้แก่ ความเจ็บป่วยบางอย่างทางกาย การใช้ยาบางชนิด ความเครียด รวมถึงโรคบางอย่างที่ทำให้การนอนหลับไม่เสถียร และมีอาการหลับ ๆ ตื่น ๆ
โดยปกติแล้วขณะนอนหลับร่างกายคนเราจะเข้าสู่วงจรการนอน สู่การหลับลึกและหลับฝัน แต่เมื่อมีการละเมอเกิดขึ้น ภาวะการนอนจะเปลี่ยนแปลงเป็นการตื่น ซึ่งจะเกิดขึ้นเป็นระยะส่งผลให้คุณภาพการนอนลดลง
ทั้งนี้ อาการของการละเมอ แบ่งตามระยะการหลับ ได้แก่ หลับไม่ลึกและหลับลึก หากเป็นระยะจากหลับไม่ลึกไปสู่การหลับลึก เรียกว่าระยะตาไม่กระตุก ส่วนระยะตากระตุกจะเป็นระยะหลับฝัน โดยการละเมอส่วนใหญ่เกิดในช่วงหลับลึกและหลับฝัน หากละเมอพูด ละเมอร้อง เหงื่อแตก ใจสั่น ละเมอเดิน มักเกิดในระยะหลับลึก
ส่วนการละเมอในช่วงหลับฝันมักเป็นเหมือนฝันร้าย โดยตื่นขึ้นมาแล้วจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ธรรมดาหากฝันว่าเดิน วิ่ง หรือต่อสู้ ร่างกายจะมีการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นจริง แต่ถ้ารายไหนมีการเคลื่อนไหวร่างกายไม่ว่าจะเดิน วิ่ง เตะ หรือต่อยเกิดขึ้นจริง ถือเป็นพฤติกรรมที่ผิดปกติขณะหลับ
การละเมอเดินเป็นความผิดปกติระหว่างช่วงหลับลึกกับหลับตื้น กิจกรรมที่ทำมีตั้งแต่กิจกรรมง่าย ๆ ไปจนถึงกิจกรรมที่มีความซับซ้อน เช่น ละเมอขับรถ ละเมอมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น ซึ่งเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นอาการจะน้อยลงกว่าวัยเด็ก ยกเว้นมีปัจจัยอื่นมากระตุ้น เช่น เรื่องราวในชีวิต ความเครียด เป็นต้น ส่วนมากเกิดขึ้นขณะหลับลึก
ในส่วนใหญ่คนเราจะมีการหลับลึกเป็นรอบ ๆ จึงมีการละเมอเกิดขึ้นไม่เกินคืนละ 1-2 ครั้ง พบได้น้อยมากที่จะเกิด 3 ครั้งต่อคืน สำหรับอัตราการเกิดต่อสัปดาห์และเดือนจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละราย หากมีปัจจัยมากระตุ้นจะเกิดได้ค่อนข้างถี่ ผลกระทบที่ตามมาจากอาการละเมอคือวิตกกังวล เพราะคนกลุ่มนี้จะกังวลเมื่อตนเองต้องไปนอนที่อื่นที่ไม่ใช่บ้าน เช่น กิจกรรมค่ายพักแรม ส่วนผลกระทบที่ตามมานอกจากนี้ก็คือการมีปัญหากับคนในครอบครัว
ในคนที่มีอาการละเมอควรพบแพทย์ก็ต่อเมื่อสงสัยว่าอาการละเมอนั้นอาจไม่ใช่อาการละเมอที่แท้จริง แต่อาจเป็นอาการชักขณะหลับ สังเกตจากทั่วไปคนเราจะละเมอคืนละ 1-2 ครั้ง หากมากกว่านั้นอาจไม่ใช่การละเมอและควรพบแพทย์ นอกจากนี้ในส่วนของการละเมอเดินจัดเป็นภาวะที่ควรพบแพทย์เช่นกัน เพราะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายสูงมาก
อาการนอนหลับผิดปกติ
อาการของการนอนหลับผิดปกติ (sleep symptoms) ได้แก่
- นอนกรน (Snoring)
ถึงแม้ว่าคนเราอาจมีแค่อาการกรนอย่างเดียวโดยไม่มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย (primary snoring) อาการกรนเป็นอาการที่พบได้บ่อยในคนไข้ obstructive sleep apnea ซึ่งมีผลต่อสุขภาพร่างกายในระยะยาว เช่น cardiovascular problems, metabolic syndrome และอื่น ๆ
- หยุดหายใจขณะนอนหลับ (Sleep Apnea)
เป็นอาการที่พบในคนไข้ obstructive sleep apnea ที่สำคัญอาการนี้อาจจะสังเกตได้ยาก ถ้าไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น สำลักขณะนอนหลับ (waking up choking) ตื่นขึ้นมากลางดึกอย่างกะทันหันเพื่อหายใจ (waking up gasping) โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนไข้นอนคนเดียว ไม่มีคนนอนข้าง ๆ
- ตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อปัสสาวะ (Nocturnal Urination)
ถึงแม้อาการนี้พบได้บ่อยในคนไข้เบาหวาน อาการนี้ก็สามารถพบได้เช่นกันในคนไข้ obstructive sleep apnea โดยเชื่อว่าอาจจะเกิดจากหัวใจสูบฉีดเลือดเพิ่มขึ้นหลังคนไข้ดังกล่าวหยุดหายใจ ซึ่งเป็นการตอบสนองอย่างหนึ่งในช่วงดังกล่าว (bradycardia-tachycardia) ด้วยเหตุนี้เลือดไปที่ไตเพิ่มขึ้น จึงมีผลทำให้มีน้ำปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะมากขึ้นในขณะนอนหลับ โดยในขณะเดียวกัน obstructive sleep apnea ก็ทำให้คนไข้นอนหลับไม่ค่อยลึกพอ จึงทำให้คนไข้สามารถรับรู้ถึงอาการปวดปัสสาวะ
- ปวดศีรษะหลังจากเพิ่งตื่นนอนตอนเช้า (Morning Headache)
คนไข้ที่มีอาการ hypoventilation ขณะนอนหลับจะไม่สามารถขับถ่ายคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกายได้อย่างเพียงพอ มีผลทำให้เส้นเลือดเเดงในสมองขยายตัวจาก respiratory acidosis จึงทำให้มีอาการปวดศีรษะ ซึ่งอาการดังกล่าวจะเห็นได้ชัดในช่วงเช้า ๆ
- ขาขยุกขยิก (Restless Legs)
พบได้ในคนไข้ Restless leg syndrome โดยคนไข้ในกลุ่มนี้จะมีความรู้สึกผิดปกติที่ขา ทำให้ต้องขยับไปมาเพื่อทำให้อาการดังกล่าวทุเลาลง อาการนี้มักเกิดในช่วงค่ำ ๆ โดยอาจพบอาการนี้ได้ในคนไข้โลหิตจาง (Iron deficiency) ในช่วงขณะตั้งครรภ์ (pregnancy) คนไข้โรคไตวาย (chronic renal failure) และโรคอื่น ๆ
- ขาขยับไปมาขณะนอนหลับ (Periodic Limb Movement During Sleep)
เป็นอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง สามารถพบร่วมได้ในคนไข้ Restless leg syndrome, Narcolepsy, Obstructive sleep apnea และโรคอื่น ๆ
- ง่วงนอนผิดปกติในช่วงเวลากลางวัน (Excessive Daytime Sleepiness)
เป็นอาการที่มีความสำคัญมากที่ต้องรีบตรวจหาสาเหตุและรับการรักษา เนื่องจากอาการนี้อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่ยานพาหนะหรือจากการทำงาน อาการนี้โดยทั่วไปพบได้ในโรคอะไรก็ตามที่ทำให้คนไข้นอนหลับพักผ่อนได้ไม่เพียงพอหรือไม่ลึกพอ (sleep fragmentation) ซึ่งสามารถเกิดได้ในโรคต่าง ๆ เช่น insomnia, obstructive sleep apnea, narcolepsy และอื่น ๆ
- Cognitive Dysfunctions
คนไข้ที่นอนไม่เพียงพอหรือมีปัญหาเรื่องการนอนหลับอาจมีผลต่อหน้าที่การทำงานของสมอง รวมทั้งความทรงจำทั้งในระยะสั้นและในระยะยาวถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
วิธีรักษาการนอนหลับผิดปกติ
การรักษาอาการและโรคการนอนหลับผิดปกติ (Treatment) ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคการนอนหลับผิดปกติ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ วินิจฉัยสาเหตุของโรคและรักษาแก้ไขที่ต้นเหตุ อย่างไรก็ตามความผิดปกติบางอย่างนอกจากต้องรักษาที่สาเหตุแล้วยังอาจต้องรักษาที่ตัวอาการด้วย ได้แก่ อาการนอนไม่หลับเรื้อรัง (chronic insomnia)
การรักษาความผิดปกติเกี่ยวกับการนอนหลับมีหลักการเหมือนกับการรักษาโรคอื่น ๆ โดยแบ่งเป็น
- การรักษาโดยไม่ใช้ยา (Non-pharmacologic therapy)
- การรักษาโดยใช้ยา (Pharmacologic therapy)
- การรักษาที่สาเหตุ (specific treatment)
- การรักษาอี่น ๆ ร่วมด้วย (supportive treatment)
ในขณะที่ได้รับการรักษา สิ่งที่สำคัญพอ ๆ กัน คือ ความสม่ำเสมอของการรักษา (treatment compliance) และการติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง (regular follow-up) ยกตัวอย่างเช่น การรักษาคนไข้ obstructive sleep apnea ด้วย positive airway pressure therapy ได้แก่ CPAP
ปัญหาที่สำคัญคือ คนไข้ส่วนหนึ่งไม่ค่อยรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง (non-adherence) เนื่องจากเหตุใดก็ตาม เช่น คนไข้บางคนรู้สึกอึกอัดในขณะสวมหน้ากากของเครื่อง CPAP จึงไม่ใช้เครื่อง CPAP อีกต่อไป โดยไม่ทราบว่ามีวิธีแก้ไขปัญหาดังกล่าว เช่น เปลี่ยนชนิดของหน้ากากให้เหมาะสม หรือในบางคนการสวมหน้ากากก่อนนอนระยะหนึ่ง โดยยังไม่เปิดเครื่อง CPAP สามารถช่วยให้คนไข้รู้สึกคุ้นเคยกับสภาวะดังกล่าวในขณะที่นอนหลับโดยเครื่อง CPAP กำลังทำงาน
จุดสังเกตพฤติกรรมของคนนอนละเมอ
- ลุกขึ้นนั่ง ยืน หรือเริ่มเดินไปมาภายในบ้าน หลังจากนอนหลับไปเพียงไม่นาน อาจจะมีทั้งลืมตาและหลับตา หรือทำกิจวัตรอย่าง เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ เป็นต้น
- ขณะที่ละเมออยู่นั้น คนที่ละเมอจะไม่มีการตอบสนองใดๆ ต่อคนรอบข้าง มักจะทำในสิ่งที่ละเมออยู่จนเสร็จ และกลับมานอนหลับได้อย่างรวดเร็ว
- เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า จะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนละเมอไม่ได้ บางคนอาจมีอาการมึนงงตอนตื่นด้วย
- อาจมีอาการง่วงระหว่างวัน หรือร่างกายไม่สดชื่น เพราะการนอนละเมอ ถือเป็นการนอนที่ผิดปกติอย่างหนึ่ง
- ส่วนคนที่สงสัยว่า เราสามารถปลุกคนนอนละเมอกลางคัน ระหว่างที่เขากำลังละเมออยู่ได้หรือไม่ คำตอบคือได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้วไม่ควรทำ เพราะมีโอกาสที่เขาจะไม่ตื่น หรือตื่นมาแล้วอาจเกิดอาการมึนงงสับสน หรือนอนไม่หลับทั้งคืน ยิ่งถ้าเป็นเด็กอาจร้องไห้หนักเลยก็ได้ ทางที่ดีแล้วควรระวังความปลอดภัยให้เขา และพยายามพากลับไปนอนโดยไม่ต้องปลุกดีกว่า
ผลเสียจากการนอนละเมอ
- เกิดอันตรายจากกิจกรรมที่ทำระหว่างละเมอ เช่น เดินออกไปนอกบ้าน เดินตกบันได ปีนหน้าต่าง ใช้มีดในครัว ฯลฯ
- ทำให้รู้สึกสับสนและมีอาการสมองเบลอหลังจากตื่นนอน
- รู้สึกหงุดหงิดและมีอารมณ์รุนแรงหลังจากตื่นจากการนอนที่ไม่ปกติ
- เป็นจุดเริ่มต้นนำไปสู่โรคเกี่ยวกับอาการผิดปกติในการนอนอื่นๆ
การนอนละเมออาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่ได้อันตราย แต่จากสถิติแล้วการนอนละเมอของบางคนอาจนำไปสู่อันตรายร้ายแรงได้ ดังนั้นถ้าคนใกล้ตัวมีอาการละเมอบ่อยครั้ง ควรรีบพาไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านการนอนหลับ
เตรียมความพร้อมอย่างไร ไม่ให้นอนละเมอ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ พยายามตั้งเวลาเข้านอนและตื่นนอนให้ชัดเจน แล้วก็นอนในเวลาเดิมทุก ๆ คืน
- หากิจกรรมที่ทำแล้วรู้สึกผ่อนคลายก่อนนอน เช่น อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ ฯลฯ
- งดเล่นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรือดูโทรทัศน์ ก่อนจะเข้านอนทุกคืน
- ปรับเปลี่ยนบรรยากาศในห้องนอนให้มืดพอสำหรับการนอนหลับ เพื่อให้หลับได้ลึกและยาวนาน
- งดกาแฟหรือหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนเข้านอน
การป้องกันสามารถทำได้
- ส่งเสริมสุขนิสัยการนอนที่ดี
- การนอนหลับที่เพียงพอ เข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลา เพื่อคุณภาพการนอนที่ดี ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงในการละเมอลง
- การรักษาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ของการนอนให้เหมาะกับการนอน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพการนอนและช่วยลดความเสี่ยงต่อการละเมอได้
- หากพบว่าสมาชิกในบ้านมีอาการละเมอควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
เช่น การล็อคประตูเพื่อไม่ให้คนไข้เปิดประตูออกไปข้างนอกได้เมื่อเกิดการละเมอ หรือแขวนกระดิ่งไว้ที่ประตู เพื่อเตือนคนในบ้านเมื่อคนไข้มีอาการละเมอ และถ้าหากอาศัยอยู่คนเดียวและสงสัยว่าตนเองมีอาการละเมอควรพบแพทย์ ที่สำคัญที่สุดห้องนอนทุกห้องต้องปลอดภัย ไม่มีของมีคมหรือไม่มีอันตรายใด ๆ ช่วยลดความเสี่ยงต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นได้
ในกรณีที่ละเมอไม่มากและนาน ๆ ครั้ง ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ และไม่จำเป็นต้องปลุกให้ตื่น คนในบ้านอาจใช้วิธีกล่อมและพาไปนอนต่อได้ แต่ถ้าหากพบว่ามีอาการละเมอมากเช่นละเมอเดินหรืออื่น ๆ ที่ทำให้เกิดอันตรายต่อตัวบุคคลนั้นได้ ควรรีบพบแพทย์
อ้างอิง: คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล , Bangkok Sleep Center ,โรงพยาบาลกรุงเทพ