'โรคอ้วนในเด็ก' ภัยสุขภาพ ปรับโภชนาการ คุมโฆษณากระตุ้นอ้วน

'โรคอ้วนในเด็ก' ภัยสุขภาพ  ปรับโภชนาการ คุมโฆษณากระตุ้นอ้วน

ผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยในเด็กและเยาวชน พบว่า ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนในเด็ก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

KEY

POINTS

  • วัยเรียนอายุ 6-14 ปี กินขนมรสเค็มมากที่สุด

ผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยในเด็กและเยาวชน พบว่า ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนในเด็ก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเด็กเล็กอายุ 1-5 ปี มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.8 เป็นร้อยละ 10.6 และเด็กวัยเรียนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.8 เป็นร้อยละ 15.4 อีกทั้ง ข้อมูลล่าสุดจากการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย ปี 2563 พบว่า ประชาชนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป เป็นโรคอ้วนสูงถึงร้อยละ 42.4

ขณะเดียวกัน ผลสำรวจเด็กไทยประมาณร้อยละ 70-80 พบเห็นสื่อและเทคนิคการตลาดอาหารในชีวิตประจำวันจนชินตา และเลือกซื้ออาหารและขนมโดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีมาตรการควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็กตามแนวทางเพื่อการยุติโรคอ้วนในเด็กในระดับสากล (Ending Children Obesity : ECHO) ขององค์การอนามัยโลก

สมาพันธ์โรคอ้วน (World Obesity Federation) คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2573 เด็กไทยอายุต่ำกว่า 20 ปีจำนวน 1 ใน 2 คน หรือเกือบร้อยละ 50 จะมีภาวะน้ำหนักเกินและโรค องค์การอนามัยโลก เสนอแนะให้จัดการระดับโครงสร้างหรือนโยบายร่วมกับการส่งเสริมความรู้และปรับพฤติกรรม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

จะรู้ได้อย่างไร?..ว่าเข้าข่าย 'โรคอ้วน' ศูนย์รักษ์พุง รพ.จุฬาฯ ช่วยได้

'วันอ้วนโลก' เกือบ 1 พันล้านคนเผชิญโรคอ้วน แนะปรับ 5 พฤติกรรมเสี่ยง

เด็กไทยอ้วนสูงเป็นอันดับ3ของอาเซียน

“ญาณี รัชต์บริรักษ์” ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ไทยมีเด็กที่เป็นโรคอ้วนสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศในกลุ่มอาเซียน รองจากประเทศมาเลเซีย และบรูไน จากสถานการณ์การบริโภคอาหาร ความมั่นคงทางอาหาร และความรอบรู้ด้านอาหารของประชากรไทย ปี 2567 โดย สสส. และสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบเด็กวัยเรียนอายุ 6-14 ปี กินขนมรสเค็มมากที่สุดร้อยละ 84.1 กินเฉลี่ย 1.35 ซองต่อวัน รองลงมาเป็นกลุ่มเด็กเล็ก อายุ 1-5 ปี กินขนมรสเค็มร้อยละ 76.5 กินเฉลี่ย 1.23 ซองต่อวัน

“การแก้ปัญหาโรคอ้วนในเด็กนั้น ต้องเริ่มจากการสร้างค่านิยมเปลี่ยนพฤติกรรมเรื่องโภชนาการ ผ่านกระบวนการออกแบบสื่อสร้างสรรค์และนวัตกรรมต้นแบบลดอ้วนในเด็ก เน้นสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างผู้บริหารสถานศึกษา ครู ชุมชน ครอบครัว และนักเรียนแกนนำ ส่งเสริมการนำบริบทชุมชนมาออกแบบสร้างอัตลักษณ์และสอดแทรกองค์ความรู้ด้านสุขภาพเข้าไปในกระบวนการ ตอบโจทย์เป้าหมายในเรื่องของการมีสุขภาวะดีทั้ง 4 มิติ”

\'โรคอ้วนในเด็ก\' ภัยสุขภาพ  ปรับโภชนาการ คุมโฆษณากระตุ้นอ้วน

ภาระเศรษฐกิจมากกว่า 7 แสนล้านบาท

“รศ.นพ.เพชร รอดอารีย์” นายกสมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย ( Association of Thai NCDs Alliance) เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาวะอ้วนในเด็กเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เมื่อเทียบสิบปีก่อน โดยสาเหตุสำคัญเกิดจากการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มี น้ำตาล ไขมัน และโซเดียมสูง และจากการศึกษาพบว่าผู้ใหญ่ที่อ้วน55% เคยอ้วนตอนเป็นเด็ก ดังนั้นเด็กอ้วนจึงมีความเสี่ยงที่จะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วนและเจ็บป่วยด้วยโรค NCDs ตั้งแต่อายุยังน้อย หากไม่แก้ไขอีก 5 ปี คนไทยอายุ 20 ปีขึ้นไป 1 ใน 2 จะเป็นโรคอ้วน

“สาเหตุของโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเกิดจากการบริโภคอาหารที่มีความหวานมันเค็มสูงเป็นปัจจัยหลักถึง 80% ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น การไม่ออกกำลังกาย และภาวะเครียด เป็นต้น ปัจจุบันพบผู้ป่วยที่อ้วนและป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ และเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 40 ปี เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งสมาพันธ์โรคอ้วนนานาชาติคาดการณ์ในอีก 6-7 ปี ข้างหน้า จะเกิดภาระทางด้านค่ารักษาพยาบาลและเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่า 7 แสน ล้านบาท” รศ.นพ.เพชร กล่าว

ยกร่างกฎหมายคุมโฆษณา คุมโรคอ้วน

ทั้งนี้ พฤติกรรมการบริโภคอาหารของเด็ก ส่วนหนึ่งมาจากการถูกกระตุ้นพฤติกรรมบริโภคจากโฆษณาและการตลาดที่ใช้เทคนิคโน้มน้าวจูงใจเด็ก ทำให้เด็กเกิดความต้องการซื้อและเกิดการบริโภคอาหาร และยังเป็นการสร้างนิสัยการกินที่ผิด ๆ ประกอบกับผู้ใหญ่บางส่วนเข้าใจผิดว่าเด็กอ้วนไม่เป็นไรเมื่อโตขึ้นก็จะผอมเอง จึงยินยอมซื้ออาหารและเครื่องดื่มตามใจเด็ก ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด

รศ.นพ.เพชร กล่าวต่อไปว่าทางเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทยร่วมกับกรมอนามัยและภาคีสุขภาพ ได้ยกร่างกฎหมายควบคุมการโฆษณาและการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก เพราะมีหลักฐานทางวิชาการชัดเจนว่าการใช้กฏหมายที่เข้มแข็งควบคุมการโฆษณาการตลาดอาหารฯ จะส่งผลดีต่อการแก้ปัญหาโรคอ้วนในเด็กอย่างชัดเจน

โดยการห้ามทำการโฆษณาที่มีลักษณะโน้มน้าวจูงใจเด็ก ห้ามทำการแลก แจก แถม ชิงรางวัล ห้ามบริจาคอาหารหรือขนมเหล่านี้ในกิจกรรมของโรงเรียนเพราะเป็นการสนับสนุนที่เชื่อมโยงกับสินค้าโดยตรง ห้ามทำกิจกรรมการตลาดออนไลน์ เป็นต้น ซึ่งร่างกฎหมายนี้ยกร่างมากว่า 3 ปี และผ่านการประชาพิจารณอย่างกว้างขวางแล้ว

วิธีการแก้ไขโรคอ้วนในเด็ก

นพ.สุรพงษ์ ลีโทชวลิต กุมารแพทย์ประจำศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 กล่าวว่าพฤติกรรมการเลี้ยงดูและสภาพสังคมที่เร่งรีย อาจส่งผลกระทบถึงพฤติกรรมการกินของเด็กได้ ซึ่งหากบริโภคอาหารเกินความจำเป็น บวกกับร่างกายขาดการเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวน้อย อ้วนเพราะพันธุกรรม หรือกินนมผงมากกว่านมแม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลให้เด็กเกิดโรคอ้วนได้

นพ.สุรพงษ์ กล่าวต่อว่าเมื่อเด็กเป็นโรคอ้วนย่อมส่งผลต่อสุขภาพมากมาย ทั้งภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง กระดูกและข้อผิดปกติ โดยเฉพาะข้อเข่าและข้อสะโพก ที่สำคัญ เด็กอาจจะขาดความมั่นใจ ไม่กล้าเข้าสังคม เพราะมักจะโดนเพื่อนล้อ จะส่งผลต่อการเรียน และการเรียนรู้ ดังนั้น หากเด็กมีน้ำหนักตัวที่มาก คุณพ่อคุณแม่ต้องพาเด็กมาพบแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพเด็ก ค้นหาว่าเด็กเป็นภาวะโรคอ้วน และมีภาวะแทรกซ้อน หรือความเสี่ยงอื่นๆ หรือไม่ เพื่อจะได้วางแผนดูแลรักษาตามแนวทางที่เหมาะสม

“วิธีการป้องกันและดูแลไม่ให้เด็กเกิดโรคอ้วน คือ การให้ความรู้ด้านการคุมอาหาร โดยให้จำกัดอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต เน้นการกินผักและผลไม้ที่ไม่มีรสหวานจัดแทนมากขึ้น ที่สำคัญคือการเลือกอาหารเข้าบ้าน ไม่สะสมหรือเก็บอาหารที่สร้างความอ้วนไว้ในตู้เย็นเป็นจำนวนมาก เพราะจะเป็นเรื่องง่ายที่เด็กๆ จะหยิบรับประทานบ่อยครั้ง และที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ควรจัดสรรเวลาให้ลูกได้ออกกำลังกายอย่างเพียงพอ เพราะจะช่วยในเรื่องของการเผาผลาญพลังงาน ทั้งยังส่งเสริมให้เด็กๆ เติบโตอย่างแข็งแรงอีกด้วย”