"Doctor Strange 2" บุก "มัลติเวิร์ส" การทดลองใหม่ ๆ ของ "มาร์เวล"
“จักรวาลมาร์เวล” ก้าวเข้าสู่ปีที่ 14 เดินมาถึงเฟสที่ 4 ด้วยภาพยนตร์ 28 เรื่อง และซีรีส์อีก 6 เรื่องที่ฉายแล้ว ล้วนแต่เล่าเรื่องในจักรวาลหลัก ถึงคราวที่จะพาผู้ชมออกเดินทางไปยังพหุจักรวาล หรือ “มัลติเวิร์ส” เต็มรูปแบบใน “Doctor Strange in the Multiverse of Madness”
“Doctor Strange in the Multiverse of Madness” นำแสดงโดย “เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์” (Benedict Cumberbatch) ในบท “Doctor Strange” หรือที่คนไทยเรียกติดปากว่า “หมอแปลก” พึ่งเข้าฉายเมื่อวันที่ 4 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่าผู้ชมทั่วโลกต่างรีบพากันไปรับชมอย่างเนืองแน่น เพราะไม่อยากโดนสปอยล์ อีกทั้งข่าวลือที่หลุดออกมาว่าภาคนี้จะมี “เซอร์ไพรส์” ที่มากกว่า “Spider-Man: No Way Home” และ “Avengers: Endgame” เสียอีก ยิ่งทำให้แฟนหนังมาร์เวลพลาดไม่ได้
เรื่องราวของ Doctor Strange in the Multiverse of Madness นี้ต่อเนื่องมาจาก Spider-Man: No Way Home กลับมาคราวนี้ Doctor Strange ไม่ได้มาคนเดียว ยังมี “วันด้า แม็กซิมอฟฟ์” (Wanda Maximoff) แสดงโดย “เอลิซาเบธ โอลเซน” (Elizabeth Olsen) มาร่วมด้วย พร้อมเปิดตัวละครใหม่ที่จะเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องอย่าง “อเมริกา ชาเวซ” (America Chavez) รับบทโดย “โซชิตล์ โกเมซ” (Xochitl Gomez)
แม้ว่า “จักรวาลมาร์เวล” (Marvel Cinematic Universe: MCU) จะเคยพูดถึงเรื่อง พหุจักรวาล หรือ มัลติเวิร์ส (Multiverse) ที่เป็นการมีอยู่ของจักรวาลอื่น ๆ นอกจากจักรวาลหลักมาแล้วในซีรีส์ “Loki” และ “What..If” รวมถึง Spider-Man: No Way Home ที่พาสไปเดอร์แมนทั้ง 3 เวอร์ชัน มาเจอกัน ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ในจักรวาลมาร์เวลนั้นมีมัลติเวิร์สอยู่
แต่สำหรับ Doctor Strange in the Multiverse of Madness นั้นจะเป็นครั้งแรกที่จะพาผู้ชมเข้าไปสำรวจมัลติเวิร์สอื่น ๆ ด้วยบรรยากาศที่ชวนขนลุก แปลกประหลาด และสยองขวัญตามแนวถนัดของผู้กำกับ “แซม ไรมี” (Sam Raimi)
“ตัวละครจากจักรวาลอื่นได้เข้ามาสู่จักรวาล (มาร์เวล) ของเรา ในสไปเดอร์แมนภาคล่าสุดของเรา แต่นี่จะเป็นครั้งแรกที่ตัวละครจากจักรวาลของเรา ได้ออกไปผจญภัยในจักรวาลอื่น ๆ” แซม ไรมี ผู้กำกับของเรื่องได้กล่าวในงานเปิดตัวภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์
- จักรวาลมาร์เวลขยายตัวไปไกล
สำหรับมัลติเวิร์สนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับวงการคอมมิค เนื่องจากเป็นการเพิ่มอิสระให้แก่นักเขียน สามารถแต่งเติมเรื่องราวได้ตามต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวละครที่ได้รับความนิยมและถือกำเนิดมาอย่างยาวนาน อย่างเช่น สไปเดอร์แมน ที่มีทั้งเวอร์ชันของปีเตอร์ พาร์คเกอร์ที่เรารู้จักกันดี ยังมีเวอร์ชัน “ไมล์ โมราเลส” (Miles Morales) สไปเดอร์แมนผิวดำ หรือ “สไปเดอร์-เกว็น” (Spider-Gwen) ที่เกว็น สเตซี (Gwen Stacy) แฟนคนแรกของปีเตอร์กลายเป็นสไปเดอร์วูแมน
ในส่วนของวงการภาพยนตร์นั้น มัลติเวิร์สถือเป็นเรื่องใหม่ และยังไม่ค่อยมีคนทำ เนื่องจากระยะเวลาการเล่าเรื่องในภาพยนตร์นั้นสั้น ไม่ได้ยาวเหมือนกับคอมมิคหรือซีรีส์ที่มีหลายตอน ซึ่งหากไม่ได้ปูพื้นด้วยการสร้างจักรวาลมาก่อนอาจจะทำให้ผู้ชมเกิดความสับสน และไม่เข้าใจในคอนเซปต์ได้
“โอ้ ใช่ เราเปิดประตู (มัลติเวิร์ส) บานนั้นออก ซึ่งผมบอกได้แค่คำเดียวเลยว่า มันสวยงามมาก สวยมากจริง ๆ” คัมเบอร์แบตช์กล่าวในงานเปิดตัวภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์
เนื่องด้วย จักรวาลมาร์เวลได้ร้อยเรียงเรื่องราวผ่านซีรีส์และภาพยนตร์หลายเรื่องที่มีความเชื่อมโยงกัน ดังนั้น การจะชม Doctor Strange in the Multiverse of Madness ให้รู้เรื่องและได้รับอรรถรสสูงสุดนั้น อย่างน้อยที่สุดควรจะต้องดูซีรีส์ Loki, What..If, WandaVision และภาพยนตร์เรื่อง Spider-Man: No Way Home ก่อน นี่อาจจะสร้างภาระให้ผู้ชม ต้องไปหาดูเรื่องอื่น ๆ ในจักรวาลมาก่อน ซึ่งทั้งหมดอยู่ในสตรีมมิง “ดิสนีย์ พลัส” (Disney Plus) ที่ต้องเสียเงินสมัคร
รีวิวจาก “The Hollywood Reporter” โดย จอห์น ดีฟอร์ (John Defore) กล่าวว่า คอนเซปต์มัลติเวิร์สของจักรวาลมาร์เวลเริ่มดูเหมือนเป็นหัวใจหลักของจักรวาล แทนที่การต่อสู้ข้ามดวงดาวในเฟสก่อน และในจักรวาลเริ่มมีตัวละครแปลก ๆ และเกิดเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้นับไม่ถ้วน โดยไม่ต้องพึ่งพาการข้ามเวลา (Time Skip) และการเปลี่ยนแปลงทางอายุตัวละคร (rapidly aging plot device)
ขณะที่ โอเวน เกลเบอร์แมน (Owen Gleiberman) จากสำนักข่าว “Variety” กล่าวว่า ตอนนี้จักรวาลมาร์เวลขยายตัวไปไกล จนแม้แต่แฟนพันธุ์แท้ของค่ายก็ต้องอุทิศตนใช้เวลากับมัน เพื่อที่จะตามให้ทันและเข้าใจทั้งหมด และยังกล่าวอีกว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเหมือนกับการเดินทางที่เสริมสร้างจินตนาการของผู้ชม และค้นหาว่าแท้จริงแล้วมาร์เวลคืออะไรกันแน่ มันเป็นความวุ่นวายที่น่าประทับใจ แต่นั่นแหละ ทั้งหมดมันก็คือความวุ่นวาย”
ส่วน IndieWire เว็บไซต์รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภาพยนตร์ชื่อดัง กล่าวถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้ว่า เป็นภาพยนตร์ที่ดุดัน แปลกประหลาด เหมือนกับโดนลากไปในขุมนรกหลาย ๆ ขุมในภาพยนตร์เรื่องเดียว
สำหรับคะแนนจากนักวิจารณ์ภาพยนตร์ในเว็บไซต์ “Rotten Tomatoes” นั้น Doctor Strange in the Multiverse of Madness อยู่ที่ 78% ส่วนคะแนนจากผู้ชมในเว็บไซต์ IMDb อยู่ที่ 7.7 (ข้อมูล ณ วันที่ 5 พ.ค. 2565) ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สูงเมื่อเทียบภาพยนตร์ภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ของจักรวาลมาร์เวล
- มัลติเวิร์สที่มาได้ถูกที่ถูกเวลา
อย่างไรก็ตาม จากสถิติเมื่อไม่นานนี้สอนให้นักวิจารณ์และผู้ชมหนังฮอลลีวูดอย่ามองข้ามเสน่ห์ของ จักรวาลมาร์เวล เพราะกลายเป็นแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลกว่า 9,900 ล้านดอลลาร์ ด้วยภาพยนตร์ 27 เรื่อง (ยังไม่รวมรายได้ของ Doctor Strange in the Multiverse of Madness ที่เป็นภาพยนตร์ลำดับที่ 28 ของจักรวาล) ที่มีการดำเนินเรื่องร้อยเรียงกันตั้งแต่ปี 2551 ในภาพยนตร์เรื่อง “Iron Man” แต่ภาพยนตร์ที่สร้างปรากฏการณ์และเป็นที่พูดถึงที่สุด คือ Avengers: Endgame ที่เข้าฉายเมื่อปี 2562 จนสามารถครองตำแหน่งภาพยนตร์อันดับ 2 ที่ทำรายได้สูงสุดกว่า 2,797 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากเป็นบทสรุปของสงครามระหว่างทีมอเวนเจอร์ส กับ จอมวายร้ายระดับจักรวาลอย่าง “ธานอส” (Thanos)
เจฟฟ์ บ็อค (Jeff Bock) นักวิเคราะห์อาวุโส ของ Exhibitor Relations บริษัทวิจัยและสำรวจข้อมูลด้านสื่อบันเทิง กล่าวว่า “มาร์เวลเป็นตัวอย่างที่ดีของการประสบความสำเร็จในปัจจุบัน เพราะในปัจจุบันการจะทำรายได้เปิดตัวสัปดาห์แรกด้วยหลัก 150-200 ล้านดอลลาร์ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนแต่ก่อน แต่มาร์เวลยังสามารถทำได้”
สำนักข่าว Variety คาดการณ์ว่า "Doctor Strange in the Multiverse of Madness" จะสามารถเปิดตัวสุดสัปดาห์แรกในสหรัฐด้วยรายได้ไม่ต่ำกว่า 175 ล้านดอลลาร์ สำหรับรายได้ในต่างประเทศ (ไม่รวมจีน รัสเซีย และยูเครน) จะกวาดรายได้ราว 125-140 ล้านดอลลาร์ ทำให้ในสุดสัปดาห์แรกจะทำรายได้ทั่วโลกประมาณ 285-340 ล้านดอลลาร์
หากตัวเลขเป็นไปตามที่คาดการณ์จะทำให้ "Doctor Strange in the Multiverse of Madness" กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้เปิดตัวสูงสุดในสหรัฐประจำปีนี้ ล้มแชมป์เก่าอย่าง “The Batman” ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโรของฝั่ง DC ที่ทำรายได้ไว้ 134 ล้านดอลลาร์
บ็อคยังกล่าวต่อว่า Doctor Strange in the Multiverse of Madness มาได้ถูกที่ถูกเวลา เนื่องจากทุกคนรู้ว่าคอนเซปต์มัลติเวิร์สดีอย่างไร แต่ยังไม่มีใครทำแนวนี้เท่าไหร่นัก
ขณะที่ เควิน ไฟกี (Kevin Feige) ประธาน มาร์เวล สตูดิโอส์ (Marvel Studios) กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า แผนการในการสร้างภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ในทศวรรษหน้านั้นกำลังดำเนินการไปอย่างราบรื่น และการเอาตัวละครที่เป็นที่รักผู้ชมจากภาพยนตร์เรื่องก่อน ๆ กลับมาก็ได้รับกระแสตอบรับอย่างดี เห็นได้จาก Spider-Man: No Way Home ที่ทำรายได้ 1,892 ล้านดอลลาร์ แม้จะไม่ได้เข้าฉายในจีนก็ตาม
ส่วน โอลเซน ผู้รับบท วันด้า แม็กซิมอฟฟ์ กล่าวว่า “เราได้เปิดประสบการณ์ใหม่ มันเป็นการเปิดช่องทางให้มีเหตุการณ์มากมายที่สามารถเกิดขึ้นได้ สำหรับภาพยนตร์ในอนาคต ซึ่งฉันตั้งตารอ ว่าเรา (มาร์เวล) จะทำอะไรต่อไป”
ที่มา: Inquirer