ครบรอบ 7 ปี "Seventeen" ส่องเส้นทางหลากรสชาติ ก่อนเป็น "แถวหน้า" แห่ง K-Pop
ทำความรู้จัก “Seventeen” บอยแบนด์แถวหน้าของวงการ K-POP หลังเดบิวต์ครบรอบ 7 ปี พร้อมปล่อยอัลบั้มใหม่ในวันที่ 27 พ.ค. ที่มียอดพรีออเดอร์อัลบั้มสูงสุดทะลุ 2 ล้านชุดมากที่สุดในประวัติศาสตร์
ต้นปี 2556 “เพลดิส เอ็นเตอร์เทนเมนต์” (Pledis Entertainment) ตั้งโปรเจ็คที่ชื่อว่า “Seventeen TV” ออกฉายทางช่อง “Ustream” เป็นรายการที่ถ่ายทอดชีวิตของเด็กฝึกชายในค่าย ทั้งที่มาจากการออดิชันเข้ามาและการชักชวนมาจากแมวมองของทางค่ายเอง รวมถึงมีเด็กฝึกจากจีนและสหรัฐเข้าร่วมอีกด้วย ซึ่งเนื้อหาของรายการนั้นมีตั้งแต่ชีวิตประจำวัน การเดินทางไปโรงเรียน การฝึกซ้อม การทำภารกิจต่าง ๆ ตลอดจนการขึ้นแสดงคอนเสิร์ต
ตลอดระยะเวลา 5 ซีซันของรายการ Seventeen TV นี้มีสมาชิกเข้าออกมากมาย จนสุดท้ายแล้วเหลือสมาชิกอยู่ 13 คน ต่อมาในปี 2015 Pledis ได้ร่วมกับช่อง MBC ทำรายการเรียลลิตี้ “Seventeen Project: Big Debut Plan” โดยทั้ง 13 คนที่เหลือรอดจากรายการ Seventeen TV จะได้เดบิวต์เป็นบอยแบนด์ในชื่อวง “Seventeen” (เซเวนทีน) ซึ่งทั้ง 13 คนประกอบไปด้วย “เอสคูปส์” (S.Coups) “จองฮัน” (Jeonghan) “โจชัว” (Joshua) “จุน” (Jun) “โฮชิ” (Hoshi) “วอนอู” (Wonwoo) “อูจี” (Woozi) “ดิเอท” (The8) “ดีเค” (DK) “มินกยู” (Mingyu) “ซึงกวาน” (Seungkwan) “เวอร์นอน” (Vernon) และ “ดีโน” (Dino)
(จากซ้ายไปขวา) เอสคูปส์, ดีเค, โฮชิ, จองฮัน, วอนอู, อูจี, ดีโน, เวอร์นอน, ซึงกวาน, จุน, มินกยู,โจชัว และ ดิเอท สมาชิกวง Seventeen
ทั้ง 13 คนได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 ยูนิตย่อยตามความถนัดของแต่ละคน คือ ยูนิตฮิปฮอป ได้แก่ เอสคูปส์, วอนอู, มินกยู และ เวอร์นอน ส่วนยูนิตโวคัล ได้แก่ จองฮัน, โจชัว, อูจี, ดีเค และ ซึงกวาน และยูนิตเพอร์ฟอร์แมนซ์ ประกอบไปด้วย โฮชิ, จุน, ดิเอท และ ดีโน
ดังนั้นชื่อ Seventeen จึงหมายถึง "สมาชิก 13 คน + ยูนิตย่อย 3 กลุ่ม + 1 ทีม" (13 members + 3 units + 1 group) 13 สมาชิก ที่แบ่งออกเป็น 3 ยูนิตย่อยที่มีความสามารถแตกต่างกัน แต่ผสานเข้ากันเป็นหนึ่งเดียว รวมกันเป็น 17 นั่นเอง
แต่กว่าที่ Seventeen จะได้เดบิวต์นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาต้องพิสูจน์ว่าตนเองมีดีพอที่จะได้เดบิวต์ด้วยการต้องทำเพลงเองทั้งหมด ทั้งแต่งทำนอง เขียนเนื้อร้อง และท่อนแร็ป รวมถึงออกแบบท่าเต้นเองทั้งหมด สลับยูนิตกันโชว์ และภารกิจที่โหดที่สุดอย่างหาผู้ชมมาชมโชว์เคสให้ได้ครบ 1,000 คน หากทำสำเร็จนอกจากจะได้เดบิวต์แล้ว ยังจะมีโชว์พิเศษเวลา 1 ชั่วโมงเต็มที่ออกอากาศทางช่อง MBC
วงน้องใหม่ที่น่าจับตาตั้งแต่เดบิวต์
ในที่สุดทั้ง 13 คนก็ทำสำเร็จ และได้เดบิวต์ครั้งแรกในวันที่ 26 พ.ค. 2558 ทางช่อง MBC ตามที่ได้สัญญาเอาไว้ ซึ่งทำให้ Seventeen กลายเป็นวงบอยแบนด์วงแรกที่มีโชว์เดบิวต์ออกอากาศสดทางสถานีโทรทัศน์ช่องใหญ่เป็นเวลา 1 ชั่วโมง อีก 3 วันถัดมา Seventeen ได้ออกอัลบั้มแรกในชื่อ “17 Carat” ทำยอดขายไปได้กว่า 50,000 ชุด กลายเป็นอัลบั้มเพลงเกาหลีใต้ที่ติดชาร์ตบิลบอร์ดได้นานที่สุดในปีนั้น และนิตยสารบิลบอร์ดยังยกให้เป็น 1 ใน 10 เพลง K-POP ที่ดีที่สุดในปี 2558 อีกด้วย
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียโอกาส ค่ายจริงรีบสานต่อความสำเร็จทันที ด้วยการออกอีพีอัลบั้มชุดที่ 2 ในเดือน ก.ย. 2558 ในชื่อ “Boys Be” มี “Mansae” เป็นซิงเกิ้ลหลัก สามารถทำยอดขายในเกาหลีใต้ไปมากกว่า 160,000 ชุด กลายเป็นอัลบั้มของศิลปินหน้าใหม่ที่มียอดขายสูงสุดในปีนั้น และยังทำให้ Seventeen ได้รับรางวัลศิลปินหน้าใหม่จาก 3 เวทีประกาศรางวัลใหญ่ของเกาหลีใต้ ไม่ว่าจะเป็น Golden Disk Awards, Seoul Music Awards, และ Gaon Chart K-Pop Awards
โด่งดังในญี่ปุ่นตั้งแต่ยังไม่เริ่มกิจกรรมที่ญี่ปุ่น
2559 Seventeen ปล่อยอัลบั้มชุดแรกในชื่อ “Love & Letter” โดยมี “Pretty U” เป็นซิงเกิ้ลหลัก และกลายเป็นหนึ่งในเพลงที่โด่งดังที่สุดของวง ทำให้วงสามารถคว้าถ้วยรางวัลแรกจากรายการเพลงได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่จะโด่งดังในเกาหลีใต้เท่านั้น แต่ยังสามารถขึ้นชาร์ต Oricon ของญี่ปุ่นได้ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ไปเดบิวต์ที่ญี่ปุ่น หลังจากนั้น Seventeen ได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตเป็นครั้งแรก “Seventeen's 1st Asia Tour 2016 Shining Diamonds” ในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ จีน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น
ในปี 2560 Seventeen จัดคอนเสิร์ตใหญ่ที่ญี่ปุ่น ถึง 6 รอบ ในชื่อ “17 Japan Concert: Say The Name #Seventeen” โดยมีผู้เข้าชมกว่า 50,000 คน โดยที่วงยังไม่ได้เดบิวต์ที่ญี่ปุ่นก็ตาม
จนในปี 2561 Seventeen ได้เดบิวต์อย่างเป็นทางการที่ญี่ปุ่นกับอีพีอัลบั้ม “We Make You” ตามมาด้วย "Happy Ending" ซิงเกิ้ลญี่ปุ่นซิงเกิ้ลแรก ซึ่งสามารถขึ้นชาร์ต Oricon ได้สำเร็จและ ได้รับรางวัลแพลทินัมจากสมาคมอุตสาหกรรมแผ่นเสียงแห่งประเทศญี่ปุ่น (RIAJ)
หลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นอัลบั้มหรือซิงเกิ้ลของ Seventeen ที่ปล่อยออกมาก็สามารถขึ้นอันดับ 1 ของ Oricon ได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็น "Fallin' Flower" (2563) ที่ทำยอดขายในสัปดาห์แรกสูงถึง 400,000 ชุด ขณะที่ “24H”(2563) ทำยอดขายไป 250,000 ชุด ส่วน “Not Alone”(2564) ทำยอดขายได้ถึง 500,000 ชุด ทำให้ Seventeen เป็นศิลปินต่างชาติกลุ่มแรกที่ทำยอดขายมากกว่า 200,000 ชุดติดต่อกัน 4 อัลบั้ม ตั้งแต่ Happy Ending จนถึง Not Alone
Going Seventeen รายการวาไรตี้ที่คนเกาหลีหลงรัก
12 มิ.ย. 2560 Seventeen เผยแพร่รายการวาไรตี้ออนไลน์ “Going Seventeen” เป็นครั้งแรกผ่านทางช่อง YouTube และ VLIVE อย่างทางการของวง ซึ่งในระยะแรกนั้นรูปแบบของรายการเป็นการนำภาพเบื้องหลังการทำงานทั้งการทำเพลง การถ่ายทำมิวสิควิดีโอ การทัวร์คอนเสิร์ต ตลอดจนการถ่ายวล็อกของสมาชิกวง ก่อนที่จะเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นรายการวาไรตี้ในปี 2561 ที่แต่ละตอนจะมีเนื้อหาที่แตกต่างกันออกไป เช่น การเล่นเกม การทำภารกิจต่าง ๆ การแสดงบทบาทสมมติ การด้นสด โดยถูกนำไปออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ KBS อีกด้วย รวมถึงสถานีเคเบิล JTBC ได้นำรายการตอนที่ได้รับความนิยมไปออกอากาศด้วยเช่นกัน
ตลอดการออกอากาศมาจนถึงปัจจุบัน Going Seventeen ได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกเสมอมา เนื่องจากมีเนื้อหาที่สนุก ตลก และคาแร็กเตอร์ของสมาชิกแต่ละคนนั้นเข้ากันได้เป็นอย่างดี คนที่ไม่ใช่ “กะรัต” (Carat) แฟนคลับของศิลปินก็สามารถเพลิดเพลินไปกับเนื้อหาของรายการได้ รายการนี้จึงสามารถเข้าถึงผู้ชมได้ทุกเพศทุกวัย จนมีชื่อเรียกกลุ่มแฟนคลับรายการ Going Seventeen ขึ้นโดยเฉพาะว่า “คิวบิก” (Cubic) (ซึ่งภายหลังคิวบิกหลายคนก็ผันตัวไปเป็นกะรัตด้วยเช่นกัน)
หลายสื่อในเกาหลีใต้ เช่น Naver และ Harper Bazaar ยกให้ Going Seventeen กลายเป็น รายการวาไรตี้ออนไลน์แห่งชาติ (National Web Variety Show) ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงเดือนม.ค. 2565 Going Seventeen มียอดวิวรวมกันแล้วกว่า 270 ล้านครั้ง มียอดผู้เข้าชมเฉลี่ยประมาณ 3 ล้านครั้งต่อตอน
ก้าวสู่ตัวท็อปของวงการ
อีพีอัลบั้ม Al1 ที่ออกในปี 2560 สามารถขายได้กว่า 330,000 ชุดภายในปี 2560 อีกทั้งซิงเกิ้ลหลักอย่าง “Don’t Wanna Cry” กลายเป็นหนึ่งในเพลงฮิตที่สุดของวง โดยเป็นมิวสิควิดีโอเพลงแรกของวงที่มียอดเข้าชมมากกว่า 200 ล้านครั้ง
ปี 2562 “Home” ซิงเกิ้ลหลักจาก อีพีอัลบั้ม “You Made My Dawn” สามารถคว้าถ้วยจากรายการเพลงหลักของเกาหลีทั้ง 5 รายการ ได้แก่ Music Bank, Inkigayo, M Countdown, Show! Music Core, และ Show Champion เป็นเวลา 3 สัปดาห์ต่อกัน กวาดไปทั้งหมด 10 ถ้วยในการโปรโมตเพลงครั้งเดียว
ในปีเดียวกันนั้น Seventeen ออกอัลบั้มเต็มชุดที่ 3 อย่าง “An Ode” ทำยอดขายในสัปดาห์แรกมากกว่า 700,000 ชุด และยังทำให้ Seventeen ได้รับรางวัลแดซัง (รางวัลใหญ่) ในสาขาอัลบั้มแห่งปี จากเวที Asia Artist Awards อีกทั้งนิตยสารบิลบอร์ดยังยกให้เป็นอัลบั้ม K-POP ที่ดีที่สุดในปี 2561 ด้วย
“Heng:garæ” (2563) อีพีอัลบั้มลำดับที่ 7 ของวงทำยอดขายทะลุ 1 ล้านชุดภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ และครองอันดับ 1 บนชาร์ต iTunes ใน 27 พื้นที่ทั่วโลก และยังขึ้นอันดับ 1 ชาร์ตอัลบั้ม ของ Oricon ในญี่ปุ่น ทำให้ Seventeen กลายเป็นศิลปินต่างชาติวงแรกในรอบ 12 ปี ที่สามารถขึ้นอันดับ 1 ได้นับตั้งแต่ Backstreet Boys ทำให้ Seventeen กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกและเป็นศิลปินแถวหน้าของวงการไปโดยปริยาย
ขณะที่ “Semicolon” (2563) อัลบั้มพิเศษ ได้สร้างปรากฏการณ์มียอดพรีออเดอร์อัลบั้มมากกว่า 1 ล้านชุดตั้งแต่ยังไม่วางขาย กลายเป็นอัลบั้มที่ 2 ของวงที่ทำยอดขายมากกว่า 1 ล้านชุด
ส่วนในปีที่แล้ว Seventeen ทำยอดขายไปได้กว่า 3.7 ล้านชุด จากการปล่อยมินิอัลบั้มออกมา 2 ชุด คือ “Your Choice” และ “Attacca” ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกของวงที่ทำยอดขายมากกว่า 2 ล้านชุด
จะเห็นได้ว่ายอดขายของ Seventeen นั้นเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกับอัลบั้มเต็มชุดที่ 4 "Face the Sun" ที่กำลังวางแผงในวันที่ 27 พ.ค. 2565 มียอดสั่งซื้ออัลบั้มทะลุ 2 ล้านชุดไปเป็นที่เรียบร้อย ทำให้กลายเป็นวงที่มียอดพรีออเดอร์อัลบั้มมากที่สุดในประวัติศาสตร์
อีกสิ่งหนึ่งที่ Seventeen ได้รับการยอมรับในวงกว้างคือความสามารถในการแสดงของสมาชิกทุกคน แม้ว่าจะมียูนิตย่อยตามความถนัดของสมาชิกแต่ละคน แต่ทุกคนก็สามารถแสดงได้อย่างพร้อมเพรียง และสวยงาม ราวกับเป็นคน ๆ เดียวกัน
การเดินทางครั้งใหม่ของ Seventeen
ในปี 2563 “HYBE Corporation” (ไฮบ์ คอร์ปอเรชัน) หรือชื่อเดิม Big Hit Entertainment ได้เข้ามาถือหุ้นใหญ่ใน Pledis ส่งผลให้ Pledis กลายเป็นค่ายลูกของ HYBE ในทันที แต่ Seventeen ยังคงมีอิสระในการทำเพลงและการทำกิจกรรมได้อย่างเต็มที่ ไม่เพียงแค่นั้นสมาชิกในวงทุกคนยังมีงานเดี่ยว ทั้งการถ่ายแบบขึ้นปกนิตยสาร เป็นพรีเซนเตอร์ เล่นละคร ออกรายการวาไรตี้ ละครเวที มีผลงานเพลงเดี่ยว และยูนิตย่อยตามมาอีกมากมาย
19 ก.ค. 2564 ได้มีข่าวระบุว่า สมาชิก Seventeen ทั้ง 13 คนได้ต่อสัญญากับ Pledis เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยไม่ต้องให้สัญญาหมดก่อน ซึ่งนับเป็นเรื่องที่หาได้ยากที่สมาชิกทุกคนเลือกที่จะต่อสัญญากับค่ายก่อนที่จะหมดสัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวงที่มีสมาชิกมากขนาดนี้ที่วงสามารถไปต่อได้โดยไม่เสียสมาชิกคนใดไปเลย
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่าน Seventeen ได้ไปออกรายการ “The Goblin that Takes Away Your Wisdom” และได้เปิดเผยว่า มินกยูเป็นตัวตั้งตัวตีให้ทุกคนต่อสัญญา โดยเขากล่าวว่า
“การต่อสัญญามันอาจจะดูเป็นเรื่องใหญ่ แต่ไม่ใช่สำหรับผมเลย มันเหมือนกับว่าเราแค่ทำสิ่งที่ทำอยู่ต่อไปอีก เหมือนเป็นเรื่องธรรมชาติ ดังนั้นผมเลยพยายามคุยกับสมาชิกคนอื่น ๆ ก่อนหมดสัญญา ผมมั่นใจว่าพวกเราทุกคนจะอยู่ด้วยกันต่อไป มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะเริ่มคุยกับคนอื่น แต่เราต้องพูดเรื่องนี้กันหลายครั้ง เราใช้เวลาคุยกันประมาณ 9 เดือน”
ขณะที่เอสคูปส์ผู้เป็นหัวหน้าวง เผยว่า มินกยูพูดคุยเรื่องสัญญากับพวกเขาด้วยพลังบวกมาก และพลังนั้นมันส่งต่อไปยังสมาชิกคนอื่น ๆ และเขาเชื่อว่ามินกยูทำให้ทุกคนตัดสินใจที่จะต่อสัญญาและก้าวไปด้วยกัน
ส่วนซึงกวานกล่าวว่า ปกติแล้ว เวลาเรียกคุยเรื่องสัญญา ทางค่ายจะเรียกสมาชิกเข้าไปทีละคน แต่สำหรับ Seventeen ทุกคนเข้าไปพร้อมกัน เพื่อจะได้เข้าใจให้ตรงกันและรู้ว่าใครต้องการอะไร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขายังคงอยากจะอยู่ด้วยกันมากขนาดไหน
อูจีเสริมว่า อันที่จริงการพูดถึงการต่ออายุสัญญาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพวกเขาอาจทำร้ายความรู้สึกของกันและกัน เมื่อต้องพูดถึงเรื่องส่วนแบ่งและเป้าหมายในอนาคตของแต่ละคน แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็ยังเลือกที่จะเดินหน้าไปด้วยกันต่อไป
สมาชิก Seventeen มักจะกล่าวขอบคุณ กะรัต กลุ่มแฟนคลับของพวกเขาเสมอทุกครั้งที่มีโอกาส ยกให้กะรัตเป็นกำลังใจและขุมพลังสำคัญที่ทำให้พวกเขามีแรงที่จะทำงานดี ๆ ออกมาเสมอ พร้อมกล่าวว่าถ้าไม่มีกะรัตก็คงไม่มี Seventeen มาถึงทุกวันนี้
แต่ในมุมมองของกะรัตก็ต้องขอบคุณความสุข ความสนุกตลอด 7 ปีที่ผ่านมาที่ Seventeen ได้มอบให้มาเสมอ เพลง Seventeen ช่วยให้ใครหลายคนก้าวข้ามผ่านเวลาที่ยากลำบากมานักต่อนัก ขอบคุณที่ทุกคนเลือกจะอยู่เป็น Seventeen ต่อไป และสร้างความทรงจำดี ๆ ใหม่ ๆ ร่วมกันแบบนี้ต่อไปตราบนานเท่านาน
ดังเช่นเนื้อเพลง “Darl+ing” ซิงเกิ้ลภาษาอังกฤษเพลงแรกของวง ที่มีเนื้อเพลงท่อนหนึ่งว่า
I see you, you see me
(ผมกับคุณ เราเจอกัน)
I care for you, you care for me
(เราต่างห่วงใยซึ่งกันและกัน)
We can be all we need
(เราต่างเป็นสิ่งที่เราต้องการ)
Promise I won't take you for granted, never
(ผมขอสัญญาว่า จะไม่มีวันมองข้ามความรักของคุณแน่นอน)
ที่มา: Billboard, Harper Bazaar, NME, SBS, Thumbster