“EMINEM” ชีวิตต้องฝ่าฟัน ก่อนเป็น "แร็ปเปอร์ผิวขาว" ที่ได้รับการยอมรับ
หนึ่งในแร็ปเปอร์ที่ใครๆ ต้องรู้จัก “EMINEM” แร็ปเปอร์ผิวขาวชาวอเมริกันเจ้าของฉายา “RAP GOD” ที่มีอิทธิพลต่อวงการเป็นอย่างมาก แต่กว่าการจะก้าวมาถึงจุดสูงในวงการเพลง "ฮิปฮอป" ล้วนมีเรื่องต้องฝ่าฟันและมีบทเรียนที่น่าสนใจ
ในวงการเพลงฮิปฮอปทั่วโลกต่างรู้กันดีว่า “EMINEM” แร็ปเปอร์ผิวขาวที่เริ่มเป็นที่รู้จักและโด่งดังตั้งแต่ในช่วงยุค 90’s จนถึงปัจจุบันถือเป็นหนึ่งใน แร็ปเปอร์แนวหน้าผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของวงการเพลงฮิปฮอป ด้วยสไตล์การแร็ปที่ดุดัน ทรงพลัง และยากที่จะแร็ปตามได้ทัน
และสิ่งที่ทำให้กลายเป็นจุดสนใจและเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขายังคงโด่งดังเหนือกาลเวลามาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ การที่เขาเป็น แร็ปเปอร์ผิวขาว เพียงคนเดียวในยุคนั้นที่ได้รับการยอมรับจากแร็ปเปอร์ผิวสีทั้งรุ่นพี่และรุ่นเดียวกัน
หลังจากการปล่อยเพลงออกมาอย่างเป็นทางการทำให้ในตอนนั้นโลกได้เริ่มจับจ้องมาที่ความแปลกใหม่ของ แร็ปเปอร์ผิวขาวหน้าใหม่คนนี้ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าวงการเพลงฮิปฮอปนั้นเริ่มต้นและโด่งดังมาจากคนผิวสีในสหรัฐอเมริกาทำให้แร็ปเปอร์ในยุคนั้นล้วนเป็นคนผิวสีทั้งสิ้น แต่ “EMINEM” สามารถเขย่าวงการนี้ได้ด้วยความสามารถที่ยากจะปฏิเสธ
หากย้อนไปในช่วงยุค 80’s และ 90’s ถือว่าเป็นช่วงนี้วงการเพลงฮิปฮอปกำลังเติบโตไปในทิศทางที่ดี มีแร็ปเปอร์มากมายที่แจ้งเกิดตั้งแต่ในช่วงนั้น และยังคงเป็นศิลปินอยู่จนถึงทุกวันนี้ เช่น 50 Cent, Snoop Dogg และ Dr.Dre รวมถึงศิลปินระดับตำนานซึ่งปัจจุบันได้จากไปแล้วแต่คงฝากผลงานไว้มากมาย อย่าง 2PAC ซึ่งทุกคนล้วนเป็นศิลปินผิวสีทั้งสิ้น
ดังนั้นการที่ "EMINEM" เข้ามาสู่วงการนี้ในฐานะ คนผิวขาว ผมสีทอง ตาสีฟ้า แน่นอนว่าในช่วงแรกนั้นเขาไม่เป็นที่ยอมรับของวงการ ซ้ำยังถูกดูถูกต่างๆ นาๆ แต่ด้วยความสู้ชีวิต การใช้ความสามารถด้านภาษาที่เขาหลงใหลกอร์ปกับพรสวรรค์ที่มี
ท้ายที่สุดเขาก็สามารถพิสูจน์ให้คนทั้งโลกได้เห็นว่า แร็ปเปอร์ผิวขาวที่ชื่อ "EMINEM" ก็เป็นศิลปินแถวหน้าของวงการได้เช่นเดียวกัน
- ใครคือ Marshall Bruce Mathers III
หากพูดถึงชื่อแร็ปเปอร์ที่โด่งดังสุดๆ ในช่วง 20 ปี ที่มาหลายคนคงนึกถึงชื่อของ “EMINEM” ซึ่งเป็นชื่อที่มาจากคำว่า M&M แต่เมื่อพูดเร็วๆ แล้วจึงเพี้ยนเป็นเอ็มมิเน็มในปัจจุบัน เขามีชื่อจริงว่า Marshall Bruce Mathers III เกิดเมื่อ 17 ต.ค. 1972 ในย่าน ดีทรอยต์ ของเมืองมิชิแกน สหรัฐอเมริกา
ย่านดีทรอยต์นั้นเป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมยานยนต์ของอเมริกา แต่กลับมีสภาพสังคมที่ไม่ปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตต่ำ เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่อันตรายที่สุดในอเมริกา แม้ว่าอัตราการเกิดอาชญากรรม เช่น การฆาตกรรม การข่มขืนกระทำชำเรา โจรกรรม ลดลง 10% ในปี 2012 แต่อัตราอาชญากรรมดังกล่าวยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศถึง 5 เท่า รวมถึงเหตุเพลิงไหม้ 1,000 เหตุการณ์จากทั้งหมด 12,000 เหตุการณ์ที่มาจากการวางเพลิง
ทำให้สภาพแวดล้อมรอบตัวที่ EMINEM ต้องพบเจอในชีวิตวัยเด็กนั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างแย่ แต่ที่แย่ไปกว่านั้นเขาเกิดมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ เนื่องจากเขาถูกพ่อทิ้งไปตั้งแต่ยังเด็ก และไม่เคยมีโอกาสได้เห็นหน้าพ่อเลย
ดังนั้นจึงมีเพียงแค่แม่ที่เลี้ยงเขามา แต่เพราะแม่ของเขาจำเป็นต้องย้ายที่อยู่บ่อยๆ เพราะต้องทำงาน เขาเองก็จำเป็นต้องย้ายโรงเรียนอยู่หลายครั้ง ทำให้เขาไม่ค่อยได้มีเพื่อนสนิทเท่าไรนัก และยังถูกมองว่าเขาเป็นตัวประหลาดอีกด้วย แต่แม้ว่าเขาจะมีผลการเรียนที่ค่อนข้างต่ำ แต่เขากลับค้นพบว่าเขาหลงใหลในเรื่องของภาษานั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเริ่มเขียนเพลง และถ่ายทอดเรื่องราวของชีวิตออกมาผ่านท่อนแร็ปที่ดุเดือด
- เมื่อ RAP GOD ก่อกำเนิด
ต่อมา "EMINEM" ใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่นตะลุยแข่งแร็ปหรือที่เรียกว่า “Rap Battle” อย่างบ้าระห่ำ และสุดท้ายความพยายามของเขาก็ได้ผล เมื่อวันหนึ่งโชคชะตาก็เข้าข้างเมื่อมีทีมงานของค่าย "Aftermath Entertainment" บังเอิญผ่านมาเห็นเขาที่กำลังแร็ปอยู่บนเวทีอย่างถึงพริกถึงขิง
ทำให้ทีมงานติดต่อเขาเพื่อขอเดโม่กลับไปที่ค่ายเพื่อนำไปให้ Dr.Dre แร็ปเปอร์อันโด่งดังในตอนนั้นที่เป็นทั้งศิลปินและเจ้าของค่ายเพลง ซึ่งหลังจากฟังเดโม่ของ "EMINEM" แล้วก็ตัดสินใจเรียกเจ้าของบทเพลงในเดโม่ (Demo) มาพบทันที
สิ่งนี้คือความฝันอีกอย่างหนึ่งของ EMINEM เลยก็ว่าได้ เพราะว่า Dr.Dre เป็นแรงบันดาลใจและเป็นไอดอลให้ตัวเขาเริ่มที่จะทำเพลงแร็ป ซึ่งการพบกันครั้งนั้นเขาได้มีโอกาสแร็ปสดให้ Dr.Dre มองเห็นความสามารถและพรสวรรค์ที่ยากจะหาได้ ทำให้เล็งเอาไว้แล้วว่าจะต้องให้ "EMINEM" เข้ามาเป็นศิลปินในสังกัตให้ได้
เรื่องราวเหมือนกำลังจะไปได้สวย ชีวิตของ EMINEM ดูเหมือนว่ากำลังจะได้รับโอกาสครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต แต่ก็ยังมีอุปสรรคเข้ามาขวาง เนื่องจากศิลปิน หรือ คนที่มีความเกี่ยวข้องกับค่ายเพลงต่างมองว่าการที่จะมีคนผิวขาวเข้ามาอยู่ร่วมสังกัดนั้นเป็นสิ่งที่ผิด เพราะทัศนคติในยุคนั้นมองว่าแร็ปเปอร์ควรเป็นคนผิวสีเท่านั้น
รวมถึงถูกดูถูกอย่างหนักว่าคงไม่มีความสามารถมากพอในการเป็นแร็ปเปอร์ และร่วมกันคัดค้านในการเซ็นสัญญาครั้งนี้ ทำให้ตัวของ Dr.Dre เอง ถูกคัดค้านและกดดันอย่างหนัก แต่ท้ายที่สุดก็สามารถฝ่าด่านเสียงคัดค้านและทำให้ "EMINEM" เซ็นสัญญาเป็นศิลปินในค่ายได้สำเร็จ
หลังจากนั้นเขาใช้เวลาเพียงไม่นานในการพิสูจน์ตัวเองผ่านการแร็ปในชนิดที่เรียกได้ว่าแทบไม่หยุดพักหายใจรวมถึงการแต่งเพลงที่มีการร้อยเรียงเรื่องราวและภาษาที่รื่นหู ส่งให้อัลบั้มเปิดตัวของเขา “The Slim Shady LP” ในปี 1999 ดังเปรี้ยงแบบม้วนเดียวจบด้วยการการันตีจากรางวัล "Grammy Awards" ในสาขา Best Rap Album (อัลบั้มแร็ปยอดเยี่ยม) ซึ่งเขาคือคนแรกที่ในรางวัลในสาขานี้ไปครอง
แต่หลังจากนั้นอัลบั้ม “The Marshall Mathers LP” (2000) และ “The Eminem Show” (2002) ก็ยังสามารถคว้ารางวัลเดิมจากเวทีเดิมมาได้เพิ่มอีก
เรียกได้ว่าเป็นการยืนยันอย่างชัดเจนในเชิงประจักษ์ต่อสายตาโลกแล้วว่าคนผิวขาวก็แร็ปได้ และสามารถแร็ปได้ดีไม่แพ้คนผิวสี หลังจากนั้นแร็ปเปอร์ทั่วโลกต่างยอมรับในความสามารถสุดมหัศจรรย์ของ "EMINEM" ที่ยากจะหาใครมาเทียบได้
ภาพ EMINEM ขึ้นปกนิตยสาร The Rolling Stone ในปี 1999
เพราะเขาเป็นหนึ่งในศิลปินที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในโลกและเป็นศิลปินที่มียอดจำหน่ายผลงานเพลงสูงสุดในคริสตทศวรรษที่ 2000 ทำให้นิตยสารดนตรีชื่อดังอย่าง “The Rolling Stone” ได้จัดให้เขาอยู่ในลำดับที่ 82 ของศิลปินที่ยิ่งใหญ่ตลอกาล 100 คน พร้อมกับประกาศให้เขาเป็น “RAP GOD” ที่มีรางวัลจากเวที Grammy Awards ตลอดการทำงานรวมกันทั้งหมด 13 รางวัล เรียกได้ว่าได้เยอะจนไม่มีที่เก็บกันเลยทีเดียว
ไม่ใช่แค่เพียงเป็นแร็ปเปอร์เท่านั้น แต่ “EMINEM” ยังเป็นนักแสดงอีกด้วยและเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้โลกรู้จักและเข้าใจช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเขามากขึ้นผ่านภาพยนตร์เรื่อง “8 miles” ภาพยนตร์กึ่งชีวประวัติของเขา ที่เขาแสดงเป็นตัวเองและเล่าเรื่องราวของเส้นทางการฝ่าฟันเพื่อเข้าสู่วงการที่ผ่านมา รวมถึงทำเพลงประกอบภาพยนตร์ในชื่อว่า “Lose Yourself” และเป็นเพลงที่ทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์ครั้งแรกในชีวิตในสาขา เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
- EMINEM ท่ามกลางแสงสปอร์ตไลท์
ต่อมาในปี 2020 “EMINEM” ได้รับเชิญให้เป็นหนึ่งในศิลปินที่ได้ขึ้นแสดงบนเวทีออสการ์ระหว่างช่วงพักจากการประกาศรางวัล และแน่นอนว่าจะเป็นเพลงไหนไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ “Lose Yourself” เพลงที่ทำให้เขาคว้ารางวัลออสการ์มาครอง ซึ่งการแสดงในครั้งนั้นเรียกเสียงฮือฮาให้กับนักแสดงระดับแนวหน้าและศิลปินที่นั่งชมอยู่ ซึ่งบางคนถึงกับอ้าปากค้างเลยทีเดียว และยังมีอีกหลายคนที่โยกหัวตามเสียงเพลงของเขาแบบไม่กลัวเสียลุค รวมถึงคนที่ร้องตามในท่อนฮุคได้บ้างก็มีให้เห็น
ภาพ EMINEM ขณะแสดงบนเวทีออสการ์จาก DAZED
โดยการแสดงนั้นไม่ใช่แค่การแร็ปธรรมดา แต่รูปแบบของการโชว์นั้นสร้างความประทับใจให้หลายคนได้ไม่น้อย โดยเขาเลือกจะใช้บีทเพลงเดิมผสมรวมกับดนตรีคลาสสิก และด้านหลังของวงดนตรีก็ปรากฏภาพของเขาจากภาพยนตร์ 8 Mile ขึ้นมา ทำให้เมื่อการแสดงจบลงคนทั้งฮอลล์ลุกขึ้นปรบมือให้กับการแสดงของเขาแบบท่วมท้น
- กลับมาเป็นอีกครั้ง ใน super bowl halftime show 2022
และล่าสุดในวันที่ 13 ก.พ. ที่ผ่านมา มีการจัดการแข่งชิงแชมป์อเมริกันฟุตบอลอาชีพประจำปีของ NFL ที่มีชื่อว่า “Super Bowl” ครั้งที่ 56 ณ สนาม SoFi Stadium ที่มีความจุถึง 70,000 ที่นั่ง
ซึ่งระหว่างการแข่งขันต้องมีช่วงเวลาพักครึ่งที่ผู้ชมจะได้พบกับ “Super Bowl Halftime Show” อีกหนึ่งในโชว์สุดอลังกาลของปีที่หลายคนรอคอย เพราะศิลปินที่จะมาแสดงบนเวทีนี้ล้วนเป็นศิลปินระดับแถวหน้าของวงการทั้งสิ้น
รวมถึงการออกแบบโชว์ที่ทวีความยิ่งใหญ่อลังการไม่มีแผ่วขึ้นทุกปี นอกจากนี้ยังมีการถ่ายทอดสดโชว์ดังกล่าวออกไปทั่วโลกด้วย และสำหรับปีนี้เรียกได้ว่าเป็นการรวมดาวชาวฮิปฮอปเลยก็ว่าได้เพราะศิลปินที่ได้ขึ้นแสดงนั้นคือศิลปินแถวหน้าของวงการฮิปฮอปที่เรียกได้ว่าอยู่ในระดับตำนานแล้ว แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็คือ “EMINEM” และยังเป็นศิลปินผิวขาวเพียงคนเดียวของเวทีด้วย สำหรับศิลปินทั้งหมดที่ได้ขึ้นแสดงก็คือ Dr. Dre, Snoop Dogg, Mary J. Blige, Eminem, 50 Cent และ Kendrick Lamar
นอกจากการโชว์สุดอลังการสร้างความร้อนแรงทะลุปรอทและปลุกวิญญาณความเป็นฮิปฮอปให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เรียกเสียงฮือฮาจากคนทั้งโลก นั่นก็คือระหว่างโชว์ EMINEM ได้คุกเข่าลงกลางเวที เพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านการเหยียดผิว ซึ่งเป็นท่าที่ "Colin Kaepernick" อดีตกองหลังทีม San Francisco 49ers ใช้เพื่อต่อต้านการเหยียดผิว ซึ่งก่อนหน้านี้ EMINEM เคยสนับสนุนความพยายามของ Colin Kaepernick ในปี 2017 ระหว่างงาน BET Hip Hop Awards เขาได้แสดงแร็ปฟรีสไตล์ 4 นาทีครึ่ง เพื่อเรียกร้องให้อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยอมรับ Colin Kaepernick และข้อความของเขาเกี่ยวกับการเหยียดเชื้อชาติและความโหดร้ายของตำรวจ
ภาพ EMINEM คุกเข่าลงระหว่างการแสดง Super Bowl Halftime Show จาก BBC
แม้ว่าในทุกวันนี้เรียกได้ว่า “EMINEM” ประสบความสำเร็จในฐานะแร็ปเปอร์ และ นักแต่งเพลง มาตลอดช่วงเวลากว่า 20 ปี ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในวงการ ซึ่งนอกจากรางวัลใหญ่อย่าง แกรมมี และ ออสการ์ เขายังกวาดรางวัลจากเวทีต่างๆ มามากมายจนนับไม่ถ้วน รวมถึงในทุกวันนี้เขายังเปิดค่ายเพลงเปิดค่ายเพลงในชื่อ “Shady Records” เป็นของตัวเองด้วย
แต่เราเองก็ได้เห็นปัญหาต่างๆ ในชีวิตที่เขาเคยเผชิญมาในอดีต เห็นการต่อสู้ฝ่าฟันจากคำดูถูกเหยียดหยามเพื่อที่จะประกาศให้โลกนี้ได้เห็นว่า เขาคือแร็ปเปอร์ผิวขาวที่ประสบความสำเร็จสุดขีดจนกลายเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจและเป็นต้นแบบของศิลปินในยุคหลัง
Eminem - Lose Yourself • LIVE • The 92nd Academy Awards • Oscars 2020
Dr. Dre, Snoop Dogg, Eminem, Mary J. Blige, Kendrick Lamar & 50 Cent FULL Pepsi SB LVI Halftime Show
อ้างอิงข้อมูล THE STANDARD, SPRING, VARIETY, BBC, DAZED, EMINEM, SHADY RECORDS และ Dr.Dre