เทรนด์ "ใส่นาฬิกา 2 เรือน" ใช้งานได้จริง หรือแค่แฟชั่น?
ส่องเทรนด์สวมใส่นาฬิกา 2 เรือน ทั้งนาฬิกาข้อมือ และ สมาร์ทวอทช์ หรือ Double Wristing ที่เหล่าคนดังล้วนสวมใส่ สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้จริง หรือแค่เทรนด์แฟชั่นเท่านั้น
หากเห็นผู้คนที่เดินไปเดินมาบนท้องถนนที่สวมนาฬิกาข้อมือ 2 เรือน ไม่ว่าจะเป็นแบบ 2 เรือน ในข้อมือข้างเดียว หรือจะเรือนละข้างก็ตาม ที่เรียกว่า “Double Wristing” คุณคงอาจจะขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเกิดคำถามในใจว่า “แล้วเราจะใส่นาฬิกา 2 เรือนไปเพื่ออะไร?”
อันที่จริง นี่ไม่ใช่เทรนด์ใหม่อะไร เพราะมีใส่กันมาเนิ่นนานแล้วตั้งแต่สมัย “ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์” “ฟิเดล กัสโตร” อดีตประธานาธิบดีแห่งคิวบา และมีปรากฏในบทประพันธ์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ด้วยซ้ำ ซึ่งเทรนด์นี้ยังคงแฝงตัวอยู่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน มีคนดังจำนวนไม่น้อยที่ใส่นาฬิกา 2 เรือน ไม่ว่าจะเป็น “บิลลี ไอลิช” นักร้องสาวแห่งยุคที่พึ่งจะมาจัดคอนเสิร์ตในไทยเมื่อไม่นานมานี้ สวมนาฬิกาสีทองคำ 2 เรือนในข้อมือข้างเดียว หรือ “จอห์นนี เดปป์” นักแสดงขวัญใจคนทั้งโลก ก็สวมใส่นาฬิกา 2 เรือนมาแล้วเช่นกัน
บิลลี ไอลิช สวมนาฬิกาข้อมือเรือนละข้าง
ขณะที่ คริส แพ็ตต์ นักแสดงเจ้าบทบาทที่ใส่นาฬิกาคาร์เทียร์ (Cartier) สุดหรูบนข้อมือทั้ง 2 ข้าง ช่วงที่โปรโมตภาพยนตร์เรื่อง The Kid ในรายการทอล์กโชว์สุดฮิต “Jimmy Kimmel Live!”
คริส แพ็ตต์ พร้อมนาฬิกาข้อมือ 2 เรือน
ไม่เพียงแต่เหล่าบรรดาคนดังเท่านั้นที่ใส่นาฬิกาข้อมือทีเดียว 2 เรือน แต่คนทั่วไปก็ขานรับแฟชั่นนี้ด้วยเช่นกัน แถมเพิ่มลูกเล่นด้วยการใส่เป็นนาฬิกาแบบเข็ม พร้อมกับสมาร์ทวอทช์
เหตุผลหลักที่คนส่วนใหญ่นิยมใส่ทั้งสมาร์ทวอทช์ คงหนีไม่พ้นฟังก์ชันการใช้งานที่ต่างกัน แม้ว่าจะยังคงชื่นชอบดีไซน์ของนาฬิกาข้อมือแบบดั้งเดิม โดยนาฬิกาข้อมือแบบเข็ม โดยเฉพาะแบรนด์หรูที่มีดีไซน์สวยงามและราคาแพงนั้นไม่ได้มีไว้เพียงแค่บอกเวลา แต่ยังช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพและสถานะทางสังคม ขณะที่สมาร์ทวอทช์ใช้สำหรับติดตามข้อมูลทางสุขภาพ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ การนับก้าวเดิน และฟังก์ชันอื่น ๆ ที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน
นี่คือเหตุผลหลักที่ผู้คนสวมนาฬิกาทั้ง 2 เรือนพร้อมกันในปัจจุบัน แล้วในยุคก่อนหน้านี้ที่ยังไม่มีสมาร์ทวอทช์ ทำไมถึงมีคนสวมนาฬิกาข้อมือ 2 เรือน?
อันที่จริงแล้ว แฟชั่นการใส่นาฬิกา 2 เรือนนั้นมีปรากฏตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 17 โดยหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ในบทกวี "Receipt to Make a Modern Fop" ที่ประพันธ์ในปี 2320 ซึ่งระบุถึงวิธีการแต่งกายที่ทันสมัยของผู้ชายในสมัยนั้น ด้วยการถือไม้เท้า ใส่นาฬิกาข้อมือ 2 เรือน สวมเสื้อกั๊กปักลายพร้อมตราประทับและโซ่ประดับ
นอกเหนือจากแฟชั่นแล้ว หลายคนยังสวมนาฬิกา 2 เรือน เพื่อการใช้งานมากกว่าแฟชั่นด้วย นายพลนอร์แมน ชวาร์สคอฟ แห่งกองทัพบกสหรัฐ มักสวมนาฬิกา 2 เรือน ระหว่างสงครามอ่าวเปอร์เซีย ช่วงปี 2534 โดยเรือนหนึ่งใช้สำหรับดูเวลาในซาอุดีอาระเบีย และอีกเรือนแสดงเวลาของวอชิงตัน แม้ว่าโรเล็กซ์จะมีนาฬิการุ่น GMT-Master ที่สามารถบอกเวลาได้หลายเขตเวลาในเรือนเดียวตั้งแต่ปี 2497 แต่ชวาร์สคอฟยังคงเลือกจะใส่นาฬิกา 2 เรือน
ในทำนองเดียวกัน ฟิเดล คาสโตร ที่สวมนาฬิกาโรเล็กซ์ 2 เรือน ในช่วงระหว่างการเยือนสหภาพโซเวียตในปี 2506 เพื่อพบกับนิกิตา ครุสชอฟ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต เพื่อใช้ดูเวลาที่กรุงฮาวานา เมืองหลวงของคิวบา และกรุงมอสโก
ส่วนเจ้าหญิงไดอานานั้น ใส่นาฬิกา 2 เรือนในข้อมือด้านเดียวกัน ซึ่งเรือนหนึ่งเป็นของพระองค์เอง ส่วนอีกเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าและเป็นสายหนังนั้นเป็นของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส เจ้าชายแห่งเวลส์ อดีตพระสวามี เพื่อเป็นการยกย่อง อีกทั้งยังเป็นเหมือนเครื่องรางให้เจ้าฟ้าชายชาร์ลส โชคดีในการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ แม้ว่าในท้ายที่สุด ความรักของทั้งคู่อาจไม่ได้สวยงามราบรื่น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นเรื่องที่โรแมนติก และยืนยันว่าความรักที่ทั้ง 2 พระองค์เคยมีให้กันนั้นเป็นเรื่องจริง
เจ้าหญิงไดอานากับนาฬิกาข้อมือ 2 เรือน
เทรนด์ใส่สมาร์ทวอทช์พร้อมกับนาฬิกาข้อมือนี้ ทำให้เกิดคำถามว่า แท้จริงแล้ว นาฬิกาข้อมือมีเอาไว้ทำไม ? ระหว่างเครื่องประดับบ่งบอกสถานภาพทางสังคม หรือ อุปกรณ์ช่วยของสมาร์ทโฟน
โอม มาลิค นักข่าวสายเทคโนโลยี ผู้ใส่นาฬิกาข้อมือทั้ง 2 ข้าง กล่าวว่า “ปรกติแล้ว ผมจะใส่แกรนด์ไซโก (Grand Seiko) ไว้ที่ข้อมือซ้าย และ แอปเปิลวอทช์อยู่ที่มือขวา เพื่อติดตามข้อมูลสุขภาพ ใช้พิมพ์ข้อความ จ่าย Apple Pay ผมอายุมากแล้วและผมรักฟังก์ชันการตรวจจับการล้มและอัตราการเต้นของหัวใจ”
อย่างไรก็ตาม คริสตอฟ เกรนเจอร์-แฮร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ IWC บริษัทผลิตนาฬิกาสุดหรูของโลก กล่าวถึงความสำคัญของนาฬิกาข้อมือว่า เป็นเครื่องประดับที่มีแสดงความเป็นตัวของตนเองและสื่อถึงอารมณ์ของผู้สวมใส่ได้อย่างดี
“อารมณ์ เสื้อผ้า และกิจวัตรที่ทำแต่ละวันมีผลต่อการเลือกเครื่องประดับที่จะสวมใส่ในแต่วัน มันเป็นเรื่องยากจะที่ออกจากบ้านโดยไม่ใส่นาฬิกาข้อมือ เพราะทำให้เครื่องแต่งกายสมบูรณ์ขึ้น ทำให้กลายเป็นสิ่งที่ผมพยายามจะแสดงออกในทุกช่วงเวลา”
ขณะเดียวกัน สมาร์ทวอทช์ก็กลายเป็นอุปกรณ์สำคัญที่หลายคนขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน แม้ในระยะแรกอาจจะใช้ยากสักหน่อยสำหรับผู้ที่ยังไม่ชิน แต่การมาเข้ามาของสมาร์ทวอทช์ก็ไม่ได้ทำให้ตลาดของนาฬิกาข้อมือแบบดั้งเดิมนั้นจางหายไป
จากข้อมูลของ The Business Research Company บริษัทสำรวจทางการตลาด ระบุว่า ในปี 2564 ตลาดนาฬิกาข้อมือลักชัวรีทั่วโลกนั้นมีมูลค่ากว่า 27,190 ล้านดอลลาร์ โดยยุโรปตะวันตกเป็นภูมิภาคที่มีกำลังซื้อสูงสุด ขณะที่เอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่กำลังซื้อเติบโตเร็วที่สุด และคาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 28,430 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ และจะยังคงเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ จนมีมูลค่าทะลุ 33,070 ล้านดอลลาร์ในปี 2569
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า การล่มสลายของตลาดคริปโทเคอเรนซีในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความต้องการนาฬิกาหรู เช่น ปาเต็ก ฟิลิปป์ (Patek Philippe) และ โรเล็กซ์ (Rolex) ทำให้ราคานาฬิกาเหล่านี้ลดลงมา
ทิม สแตร็ค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมของ Chrono24 แพลตฟอร์มการซื้อขายนาฬิกาออนไลน์ กล่าวว่า นาฬิกาหรูรุ่นยอดนิยมถูกนำมาวางขายในเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้นในช่วงที่ราคาคริปโทร่วงลงมา อย่างเช่น Patek Philippe Nautilus 5711A ที่มีราคาขายที่ 35,000 ดอลลาร์ ก่อนที่ราคาจะพุ่งไปถึง 240,000 ดอลลาร์ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่คริปโทราคาสูง และในปัจจุบันตามข้อมูลของ Chrono24 ราคาของนาฬิกาหรูรุ่นนี้ลดลงมาอยู่ที่ 190,000 ดอลลาร์
ขณะที่ข้อมูลของ Facts and Factors บริษัทสำรวจข้อมูลทางการตลาด ระบุว่า มูลค่าตลาดของสมาร์ทวอทช์ทั่วโลก อยู่ที่กว่า 22,460 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา และคาดว่าตลาดจะเติบโตขึ้นจนมีมูลค่าสูงกว่า 97,520 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2571 โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดเติบโตขึ้นนั้นมาจาก ผู้คนทั่วโลกต่างให้ความสนใจในด้านสุขภาพกันมากขึ้น ซึ่งสมาร์ทวอทช์เป็นอุปกรณ์ที่สามารถรวบรวมและติดตามข้อมูลสุขภาพได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังมีฟังก์ชันต่าง ๆ ที่สามารถใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนและเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะมีเหตุผลในการใส่นาฬิกา 2 เรือนเพื่อความสวยงาม เพื่อบ่งบอกสถานภาพทางสังคม เพื่อฟังก์ชันในการใช้งาน หรือเหตุผลอื่น ๆ ก็ล้วนเป็นรสนิยมส่วนตัว แม้ว่าคนรอบข้างอาจขมวดคิ้วใส่ แต่จงภูมิใจในสไตล์ของเรา เพราะนี่เป็นวิธีการแสดงความเป็นตัวตนได้ดีอีกรูปแบบหนึ่ง
ที่มา: Bloomberg, Financial Times, Marie Claire, New York Times, Sarajevo Times