ทำไมคนรอบตัวถึงแย่ไปหมด | บวร ปภัสราทร
ยิ่งทำงานยิ่งรู้สึกว่าคนอื่นดูไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น กลับบ้านก็รู้สึกว่าคนในบ้านดูไม่ใส่ใจเรื่องนั้นเรื่องนี้ สิ่งรอบตัวดูแย่ไปหมด อาการทำนองนี้มักพบเจอบ่อย ๆ ในยามข้าวยากหมากแพง ซึ่งถ้าจมอยู่กับอาการนี้ไปนาน ๆ จะเป็นปัญหาที่คุกคามทั้งชีวิตและการงาน
เราจะมองการกระทำของคนอื่นบนความเชื่อ ความชอบ ความไม่คาดหวังของตัวเราเอง ทำให้เราละเลยสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในทางตรงข้ามเราตัดสินว่าการกระทำของเราจากการพิจาณาสถานการณ์ที่นำไปสู่การกระทำนั้น ๆ ทำให้เราตัดสินว่าคนนั้นกระทำในสิ่งที่แย่ ๆ เพียงเพราะการกระทำนั้นไม่ถูกใจ ไม่ตรงกับที่เราชอบ ไม่ตรงกับที่เราคาดหวังจะให้เขากระทำ
ในขณะที่หากเราเป็นผู้กระทำแบบเดียวกัน เราจะตัดสินใจว่าเป็นการกระทำที่สมควรแล้ว เพราะสถานการณ์รอบตัวบังคับให้เราต้องกระทำเช่นนั้น การกระทำแบบเดียวกัน ถ้าเราทำเองเป็นเรื่องถูกต้อง แต่ถ้าคนอื่นทำเป็นเรื่องย่ำแย่ ตำราเรียกอาการนี้ว่า Actor Observer Asymmetric
ตำรายังบอกว่าอาการนี้เป็นอุปสรรคสำคัญในการทำงานร่วมกันอย่างเห็นอกเห็นใจกัน ใครก็ตามที่ทำงานภายใต้ผู้บริหารที่ตกอยู่ในอาการนี้ ถือว่าโชคร้ายมาก เพราะทำดีแค่ไหน ท่านก็ไม่เคยเห็นดีสักที ทำพลาดนิดเดียวท่านจัดให้เต็ม ๆ
ตำราอธิบายว่าเป็นการป้องกันตนเองอย่างหนึ่ง คนเรามีแนวโน้มที่จะไม่ยอมรับความผิดพลาดในการกระทำของตนเอง จึงมักยกปัจจัยภายนอกมาใช้เป็นข้ออ้างในการแก้ตัวว่าการกระทำนั้นชอบแล้วดีแล้วภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น
แต่คนเราอดไม่ได้ที่จะตัดสินคนอื่นจากความชอบ ความเชื่อ ความคาดหวังของตนเอง การตัดสินการกระทำของคนอื่นจึงเป็นไปตามปัจจัยภายในของเรา มากกว่าที่จะมองไปถึงปัจจัยภายนอกที่เกิดขึ้นกับคนที่กระทำสิ่งนั้น
ถ้าไม่สามารถทุเลาการตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างจากปัจจัยภายในให้อยู่ในระดับที่สมควรกับบริบทในขณะนั้น จะกลายเป็นฉันถูกแกผิดไปแทบทุกเรื่อง ซึ่งจะยากมากขึ้นในการทำงานด้วยกัน หรืออยู่ในสังคมเดียวกันโดยปราศจากความขัดแย้งที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้น
ยิ่งเป็นสังคมที่ให้ความสำคัญกับการกล่าวร้ายกับคนอื่น มากกว่าการชื่นชมสิ่งดี ๆ ของคนอื่น ยิ่งจะขยายความขัดแย้งไปในวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งก็ไม่ต้องพึ่งพาอะไรกันอีกแล้ว แกนำฉันไม่ทำ ฉันนำแกเฉย ลงท้ายที่ทุกคนเสียหายกันหมด
ถ้าไม่อยากให้รอบตัวกลายเป็นคนแย่ ๆ ไปหมด ให้ลดละการเริ่มต้นรับมือทุกวิกฤติด้วยการหาคนถูกด่าเป็นอันดับแรก รถติดเพราะน้ำท่วม อย่าพึ่งเริ่มต้นด้วยการด่าคนดูแลการระบายน้ำ ให้ลองดูสถานการณ์ก่อนว่าแค่ไหนที่เกินกว่าที่จะรับมือได้ แค่ไหนที่เกินกำลังไม่ว่าจะทุ่มเทแค่ไหน
ถ้าคนระบายน้ำไม่ได้ทำหน้าที่ที่สมควรจะทำ ก็ให้ลองดูสถานการณ์ในการทำงานของเขาก่อนว่าเงินทองงบประมาณ เครื่องมือได้รับการจัดสรรเพียงพอหรือไม่ ถ้าจะด่าใครสักคนจากวิกฤติใด ขอให้ตามดูสถานการณ์ที่เป็นปัจจัยภายนอกให้ครบถ้วนเสียก่อน ซึ่งเราอาจจะเจอคนที่ทำงานเต็มที่เต็มกำลังแล้วแต่วิกฤติหนักหนาเกินกว่าที่ทรัพยากรที่เขามีอยู่จะรับมือได้ รอบตัวเรายังอาจจะมีคนไม่แย่เหลืออยู่บ้าง
ในทางตรงข้าม ถ้าเราทำอะไรพลาดพลั้งไป อย่ารีบด่วนโทษปัจจัยภายนอก ทบทวนให้ดี ๆ ก่อนว่าเราได้กระทำในสิ่งที่สมควรจะกระทำอย่างครบถ้วนแล้วจริงหรือไม่ ถ้าทำไม่ได้ดีเท่าที่ควรจะทำแล้วพลาดพลั้งไป และเรายอมรับความบกพร่องนั้น คนอื่นก็จะมองเราไม่ย่ำแย่มากมายนัก ทำไม่ได้ก็ไม่โทษนั่นโทษนี่ แต่ยอมรับว่าฉันเองที่ทำได้ดีไม่พอ หาคนอยากร่วมงานด้วยง่ายว่าคนที่ทำไม่ได้ก็โทษปัจจัยภายนอกไว้ก่อน
ที่ยากขึ้นไปอีกขั้นคือ พยายามอย่าใช้ปัจจัยภายในของตนเองไปสนับสนุนการทำงานที่บกพร่อง หรือไปด้อยค่าความสำเร็จของคนอื่น ใครที่ฉันชอบทำอะไรทุกอย่างถูกเสมอ ดีเสมอ ใครที่ฉันเกลียด ทำอะไรก็ผิดไปหมด จนเหมือนมือขวาถูกหมด มือซ้ายผิดหมด แทนที่จะทำงานได้สองมือ เลยเหลือมือแค่ข้างเดียว งานทุกอย่างจึงยากเย็นเกินกว่าที่จะสำเร็จไปได้
คอลัมน์ ก้าวไกลวิสัยทัศน์
รศ.บวร ปภัสราทร
คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
email. [email protected]