เงินเยนอ่อน งานไม่ก้าวหน้า ‘หนุ่มสาวญี่ปุ่น’ แห่ออกนอกประเทศ หาโอกาสใหม่
ผลจากเงินเยนอ่อนค่า บวกกับความอัดอั้นจากมาตรการโควิด พบคนรุ่นใหม่ญี่ปุ่นแห่ออกนอกประเทศ ตามหาความฝัน หลังพบความจริงทำงานในญี่ปุ่นไม่ก้าวหน้า เงินเดือนขึ้นไม่ทันใจ ขอไปแสวงหาโอกาสในต่างแดน
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาทั่วโลกต้องเผชิญกับมาตรการกักตัวและการเว้นระยะห่างทางสังคม จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างน่าเบื่อภายใต้ข้อจำกัดของภาครัฐ โดยเฉพาะในประเทศที่อุทิศชีวิตให้แก่งานอย่างญี่ปุ่น หลายครั้งที่ต้องทำงานล่วงเวลาจนดึกดื่น ยิ่งทำให้ผู้คนใช้ชีวิตอยู่แค่ที่ทำงานกับบ้านเท่านั้น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพจิต
เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย รัฐบาลประกาศให้สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ทำให้หนุ่มสาวชาวญี่ปุ่น เริ่มออกตามล่าหาความฝัน ด้วยการไปเรียนออสเตรเลียและทำงานไปด้วย ภายใต้โครงการ “Working Holiday Visa” หรือ WHV ที่สามารถให้นักเรียนสามารถทำงานในช่วงวันหยุด
- ล้างแค้นโควิดด้วยการออกไปต่างประเทศ
ญี่ปุ่น ลงนามข้อตกลงการอนุญาตให้นักเรียนสามารถทำงานช่วงวันหยุดในออสเตรเลีย ตั้งแต่เดือนมี.ค.1980 นอกจากในออสเตรเลียแล้ว ญี่ปุ่นยังทำข้อตกลงที่คล้ายกันกับ 27 ประเทศและดินแดน โดยกำหนดให้ชาวญี่ปุ่นที่มีอายุระหว่าง 18-30 ปี สามารถอาศัยและทำงานในหนึ่งใน 27 ประเทศและดินแดนได้นานถึงหนึ่งปี
Re-abroad บริษัทให้คำปรึกษาและค้นหาโปรแกรมการศึกษาในต่างประเทศ เปิดเผยกับสำนักข่าว Nikkei ว่าในเดือนเม.ย. 2023 มีลูกค้า 220 คนเดินทางไปศึกษาต่างประเทศ ซึ่งมากกว่า 3 เท่าจากปี 2021 และมากกว่าเดือนเม.ย. 2019 ถึง 6.5 เท่า ซึ่งเป็นยุคก่อนโควิด-19
“โควิด-19 ทำให้ผู้คนไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ เมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปรกติ หลายคนจึงใช้โอกาสนี้เพื่อแก้แค้น” ตัวแทนของบริษัท Re-abroad กล่าว
ทั้งนี้ การย้ายไปต่างประเทศเป็นเวลานาน อาจหมายถึง “การเริ่มต้นชีวิตใหม่” และต้องทิ้งหน้าที่การงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่ผ่านมาวัยทำงานหลายคนไม่กล้าออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตนเอง แต่มาปัจจุบัน พบว่า บางคนก็พร้อม “เสี่ยง” ที่จะไปตายดาบหน้า เพราะมองว่า อยู่ที่ญี่ปุ่นไป ก็ได้รายได้เท่าเดิม เงินเดือนคงไม่ขึ้นไปมากกว่านี้ ด้วยรูปแบบฐานเงินเดือนที่ปรับตามอายุการทำงาน
เช่นเดียวกับ วัยรุ่นญี่ปุ่นจำนวนมาก พวกเขาคว้าทุกโอกาสที่เข้ามาหาพวกเขา โดยออสเตรเลีย แคนาดา และยุโรปเป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตที่ชาวญี่ปุ่นต้องการไปตามฝันมากที่สุด
ยิ่งในตอนนี้ที่ “เงินเยน” อ่อนค่าลง ยิ่งทำให้โครงการ WHV เป็นที่สนใจยิ่งมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “ออสเตรเลีย” ที่นอกจากจะมีวันหยุดเยอะแล้ว ยังมีค่าจ้างขั้นต่ำต่อชั่วโมงสูงอีกด้วย โดยอยู่ที่ประมาณ 1,900 เยน หรือราว 477 บาท ซึ่งคิดเป็นเกือบสองเท่าของค่าเฉลี่ยทั่วประเทศของญี่ปุ่นที่ 961 เยน หรือประมาณ 240 บาทต่อชั่วโมง ประกอบกับสถานการณ์ค่าเยนที่อ่อนลง ทำให้สามารถแลกเงินกลับมาเป็นเงินเยนได้มากยิ่งขึ้น
ดังนั้น เมื่อรัฐบาลผ่อนมาตรการคุมโควิด และอนุญาตให้ประชาชนสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ก็ทำให้จำนวนชาวญี่ปุ่นที่เดินทางไปต่างประเทศด้วย “วีซ่าทำงานในช่วงวันหยุด” เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีชาวญี่ปุ่นประมาณ 5,700 คนพำนักอยู่ในออสเตรเลียด้วยวีซ่าทำงานในช่วงวันหยุด ในช่วงสิ้นเดือนธ.ค. 2022 ซึ่งมากกว่าปี 2021 ถึง 7.7 เท่า
- อยู่ต่างประเทศอาจไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก วีซ่าทำงานในช่วงวันหยุด หรือ Working Holiday Visa ไม่ใช่วีซ่าสำหรับการทำงาน ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้ทำงานที่เดิมติดต่อกันเกิน 6 เดือน แถมผู้สมัครจะต้องดำเนินการหางาน ที่พัก หรือสถานที่เรียนด้วยตนเอง
ดังนั้นการขอวีซ่านักศึกษาทำงานในช่วงวันหยุดอาจไม่ใช่เรื่องเรื่องยาก เมื่อเทียบกับการหางานและหาที่พักภายในออสเตรเลีย หญิงชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่อาศัยในออสเตรเลียเปิดเผยกว่า เธอส่งใบสมัครไป 10 แห่ง แต่มีเพียงแห่งเดียวที่ตอบกลับเธอ
นอกจากนี้ ค่าจ้างจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพการทำงานและประเภทของงาน ยิ่งหากไม่มีประสบการณ์การทำงาน หรือไม่ได้ภาษาแล้วละก็ ตัวเลือกในการทำงานจะยิ่งน้อยลงไปอีก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นงานใช้แรงงาน
แม้ว่าจะได้ค่าแรงที่เพิ่มขึ้น แต่ค่าครองชีพก็สูงตามไปด้วย ซึ่งวิธีที่จะช่วยให้ผู้ที่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศประหยัดเงินได้มาก คือการรวมตัวอยู่ด้วยกันเพื่อแชร์ค่าที่พักและค่าอาหาร และเงินเก็บที่ได้จนจบโครงการแล้วอาจจะไม่ได้มากเท่ากับที่พวกเขาหวังเอาไว้ เพราะหากประสบอุบัติเหตุ หรือเกิดโรคภัยไข้เจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาล อาจจะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง เนื่องจากไม่มีประกันการเดินทาง
อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องคำนึง เมื่อกลับมาจากต่างประเทศแล้ว จะหางานอะไรทำที่ญี่ปุ่น ? “ผู้ที่เข้าร่วมกับโครงการวีซ่าทำงานช่วงวันหยุดจำเป็นต้องมีวัตถุประสงค์ที่แน่ชัดว่าไปเพื่ออะไร ฝึกภาษาหรือหาเงิน และควรคิดเอาไว้ว่าจะกลับมาทำงานอะไรเมื่อกลับมาที่ญี่ปุ่น” โคทาโระ ซานาดะ จาก Japan Association for Working Holiday Makers กล่าว
ถึงการใช้ชีวิตในต่างประเทศอาจจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่สิ่งที่ผู้เข้าร่วมโครงการได้รับก็คือ ทักษะด้านภาษา การเข้าสังคม ตลอดจนรายได้ ที่สำคัญคือประสบการณ์ชีวิตที่หาไม่ได้จากการอยู่ในประเทศ
สำหรับโครงการ Work and Holiday Visa เปิดโอกาสให้คนไทยสามารถเดินทางไปยังออสเตรเลียได้เช่นกัน โดยสมัครผ่านเว็บไซต์ของ กรมกิจการเด็กและเยาวชน และอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย
ที่มา: Nikkei