‘AI’ เริ่มแย่งงาน ‘ก๊อปปี้ไรเตอร์’ สวนความเชื่อ ‘สายครีเอทีฟ’ ไม่มีวันตกงาน

‘AI’ เริ่มแย่งงาน ‘ก๊อปปี้ไรเตอร์’ สวนความเชื่อ ‘สายครีเอทีฟ’ ไม่มีวันตกงาน

“สายครีเอทีฟ” สะเทือน! “ก๊อปปี้ไรเตอร์” เริ่มตกงาน หลังบริษัท “ลดต้นทุน” ด้วยการใช้ “AI” เข้ามาทำงานแทน สวนแนวคิด มีทักษะ “ความคิดสร้างสรรค์” ไม่มีวัน “ตกงาน” 

ก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญและซีอีโอจากหลายบริษัทต่างเห็นตรงกันว่าหนึ่งในสายงานที่จะไม่โดน “AI” (เอไอ) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ แย่งงาน คือ งานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ แถมซีอีโอหลายคนยังพูดด้วยซ้ำว่า “ความคิดสร้างสรรค์” จะเป็นสกิลที่ให้คุณค่าและสร้างรายได้มากที่สุด แต่ความคิดนี้อาจถูกท้าทายหลังจาก มีรายงานว่า งานหลายตำแหน่งที่จำเป็นต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ โดน “ChatGPT” แย่งงานไปเรียบร้อยแล้ว

จากข้อมูลของ Gartner บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีของอเมริกา พบว่า 65% ของแบรนด์และเอเยนซีระบุว่า AI เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่สำคัญที่สุดในปี 2023 นอกจากนี้ยังคาดว่า 10% ของข้อมูลทั้งหมดที่ผลิตขึ้นในปี 2025 จะถูกผลิตขึ้นโดยปัญญาประดิษฐ์

ยิ่งไปกว่านั้น 30% ของคำโฆษณาในแคมเปญการตลาดจากแบรนด์ใหญ่ ๆ ของโลกก็จะถูกสร้างขึ้นโดย AI อีกด้วย 

แน่นอนว่า นี่ถือเป็นสัญญาณอันตรายสำหรับอาชีพ “ก๊อปปี้ไรเตอร์” (Copywriter) ที่จะเป็นอาชีพแรก ๆ ในสายครีเอทีฟที่ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงตกงาน และหลายคนก็ตกงานแล้ว จากการมาของโปรแกรม AI 

  • “ก๊อปปี้ไรเตอร์” ตกงานเพราะ “AI”

เดิมที โอลิเวีย ลิปกิน เป็นก๊อปปี้ไรเตอร์เพียงคนเดียวในบริษัท แต่ในช่วงแรกที่ ChatGPT เริ่มเป็นที่รู้จัก เธอก็ยังไม่คิดอะไรมากหรือมองว่าจะเกี่ยวอะไรกับตัวเอง จนกระทั่งเริ่มมีการพูดถึงวิธีใช้แชทบอทในที่ทำงานของเธอ ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี แล้วเธอก็ทำงานเป็นนักเขียนเพียงคนเดียวของบริษัท

จากนั้นลางร้ายก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น โดยในทุกครั้งที่เจ้านายสั่งงานเธอผ่านโปรแกรมส่งข้อความ Slack ก็จะจั่วหัวจดหมายโดยระบุชื่อผู้รับว่า  "Olivia/ChatGPT" ซึ่งหมายถึงลิปกินและแชทบอทสามารถทำงานแทนกันได้ หลังจากนั้นไม่นาน เธอเริ่มสังเกตว่า เธอได้รับงานน้อยลงเรื่อย ๆ 

จนกระทั่งเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ลิปกินถูกเชิญให้ออกจากงานโดยไม่แจ้งเหตุผล แต่ภายหลังเธอก็รู้จากหัวหน้างานว่า ChatGPT ได้เข้ามาทำงานแทนเธอ เพราะค่าใช้จ่ายถูกกว่าค่าจ้างของเธอ

“เวลาที่ที่มีคนพูดถึง ChatGPT ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยและกังวลว่ามันจะมาแทนที่ฉัน ตอนนี้ฉันมีหลักฐานยืนยันแล้วว่าเป็นความจริง ฉันพูดได้เต็มปากแล้วว่าตอนนี้ฉันตกงานเพราะ AI” ลิปกิน ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Washington Post

ในปัจจุบัน ลิปกินหันหลังให้กับวงการครีเอทีฟ และผันตัวไปเป็นคนพาสุนัขเดินเล่น

  • AI คุกคามงานสร้างสรรค์

ลิปกินไม่ใช่เพียงคนเดียวที่ตกงานเพราะ AI จากข้อมูลของ Challenger, Grey & Christmas บริษัทจัดหางาน ประเมินว่าในเดือนพ.ค. ที่ผ่านมางานเกือบ 4,000 ตำแหน่งที่ถูก AI เข้ามาแทนที่ แม้ว่า พนักงานหลายคนจะได้ฝึกสกิล “วิศวกรชุดคำสั่ง” หรือ “Prompt Engineer” (อาชีพที่ต้องสื่อสารหรือป้อนคำสั่งให้ AI ทำตามที่ต้องการ) เพื่อสามารถใช้ AI โดยเฉพาะกับบรรดาโปรแกรมแชทบอตเป็นเครื่องมือในการทำงาน แต่ดูเหมือนจะสายเกินไปเสียแล้ว

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคุณภาพของ AI เชิงสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการใช้อัลกอริธึมที่ซับซ้อน รวบรวมคำและรูปภาพหลายพันล้านคำจากอินเทอร์เน็ต เพื่อสร้างข้อความ รูปภาพ และเสียง จนเกิดเป็นแชตบอทที่พูดคุยกับมนุษย์ได้อย่างลื่นไหล สามารถเขียนเพลง (ล่าสุดเพิ่งมีข่าวเพลงสุดท้ายของเดอะบีทเทิลส์ทำสำเร็จแล้วโดยใช้เอไอช่วย) และสร้างรหัสคอมพิวเตอร์ได้ด้วย รวมไปถึงโปรแกรมสร้างรูปภาพต่าง ๆ แถมยังเปิดให้คนทั่วไปได้ใช้ฟรี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทำให้คนส่วนใหญ่นำโปรแกรมเหล่านี้มาช่วยในการทำงาน

แม้ผู้เชี่ยวชาญจะยืนยันว่าในตอนนี้ AI ขั้นสูงยังสู้ทักษะการเขียนของมนุษย์ไม่ได้ เพราะขาดสไตล์การเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ ใช้คำที่ไม่หลากหลาย และส่งคำตอบที่ไร้สาระ ไม่เกี่ยวข้อง คำไม่ได้สวยเท่ามนุษย์ แต่หลาย ๆ บริษัทยอมใช้เพื่อลดต้นทุน แม้จะได้คุณภาพที่ลดลงก็ตาม 

คราวนี้ AI กลายเป็นภัยคุกคามกับกลุ่มอาชีพที่มีรายได้สูงสุดจากการใช้ความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด ซึ่งต้องการทักษะเฉพาะและความเชี่ยวชาญมากที่สุด

ในเดือนมีนาคม Goldman Sachs วาณิชธนกิจขนาดใหญ่ของโลก ทำนายว่า 18% ของตำแหน่งงานทั่วโลกอาจถูก AI แย่งงาน ซึ่งส่วนใหญ่งานออฟฟิศ (White Collar) มีโอกาสเสี่ยงโดนแย่งงานมากกว่างานใช้แรงงาน เช่น งานก่อสร้าง งานบำรุงรักษา เพราะ AI ไม่สามารถออกไปทำงานที่ใช้พละกำลังได้

 

  • ศักยภาพของ AI ยังสู่ทักษะมนุษย์ไม่ได้

ขณะที่ อีธาน มอลลิก รองศาสตราจารย์จากคณะบริหารธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย กล่าวว่ายังเร็วเกินไปที่จะประเมินว่า AI จะส่งผลกระทบต่อพนักงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ทั้งหมด มอลลิกตั้งข้อสังเกตว่างานที่มีความซับซ้อนน้อย เช่น การเขียนคำโฆษณา การแปลเอกสารและการถอดความ และผู้ช่วยทนาย มีความเสี่ยงที่จะโดน AI แทนที่ เนื่องจากเป็นสิ่งที่แชตบอทสามารถทำแทนได้

แตกต่างจากงานที่มีความซับซ้อนและใช้ความคิดสร้างสรรค์สูง เช่น การตีความทางกฎหมาย การเขียนเชิงสร้างสรรค์ หรืองานศิลปะ เป็นงานที่ AI ยังไม่สามารถทดแทนได้ เนื่องจากมนุษย์ยังคงมีประสิทธิภาพเหนือกว่า

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่า AI จะสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ หลายบริษัทที่ใช้แชตบอทเข้าแทนที่แรงงาน กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก เมื่อเว็บไซต์ข่าวเทคโนโลยี CNET ใช้ปัญญาประดิษฐ์เขียนบทความ แต่กลับกลายเป็นว่าบทความนั้นมีข้อผิดพลาดเต็มไปหมด ทำให้ต้องเสียเวลาแก้ไขนานกว่าเดิมและเป็นการทำงานซ้ำซ้อน

ขณะที่สมาคมโรคการกินผิดปกติแห่งชาติของสหรัฐ ต้องรีบระงับการใช้แชตบอทที่ทำหน้าแทนพนักงานคอลเซ็นเตอร์ เนื่องจาก AI ให้คำแนะนำไม่ละเอียดอ่อนและเป็นอันตรายต่อผู้ติดต่อสอบถาม

ซาราห์ ที โรเบิร์ตส์ รองศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงานดิจิทัล จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในลอสแองเจลิส กล่าวว่า หน่วยงานต่าง ๆ “เร่งรีบ” นำ AI เข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์มากเกินไป เพราะสามารถสร้างข้อผิดพลาดราคาแพงให้แก่องค์กรได้ แชทบอทใช้การคาดคะเนคำตอบที่เป็นไปได้ในทางสถิติมากที่สุด และตัดทอนเนื้อหาบางส่วนออกไป ทั้งที่ส่วนนั้นอาจจะสำคัญมากที่สุดก็ได้ 

ตอนนี้หลายบริษัทอยู่ในจุดที่ต้องเลือกว่าต้องการ “คุณภาพ” หรือ “ลดต้นทุน” มากกว่ากัน แต่ก็ต้องพร้อมยอมรับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการนำ AI มาใช้งานให้ได้ด้วยเช่นกัน


ที่มา: FuturismSocial SamosaThe GuardianWashington Post