‘แมว’ มี 9 ชีวิต ถึงตกจากที่สูงก็ไม่ตาย ความเชื่อนี้จริงหรือไม่?
ในอดีตมีความเชื่อว่า “แมว” ตกจากที่สูงได้ไม่อันตราย เพราะมันสามารถตีลังกาหมุนตัวเอาเท้าลงพื้นได้เสมอ แต่ความจริงแล้วมีผลร้ายมากกว่าที่คิด อาจบาดเจ็บ กระดูกหัก หรือตายได้ หรือเรียกว่า “High-Rise Syndrome”
Key Points:
- ความเชื่อที่ว่า “แมวมี 9 ชีวิต” หรือแมวตกจากที่สูงก็ไม่ตายนั้น อาจเป็นความเชื่อที่ผิด เมื่อปัจจุบันมีข้อมูลโต้แย้งมากมาย โดยเฉพาะปัญหาที่ทำให้แมวบาดเจ็บในระยะยาว
- “High-Rise Syndrome” คือ อาการของแมวตกจากที่สูง ซึ่งอาจได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ และเกิดขึ้นได้บ่อยในแมวที่อาศัยอยู่บนตึกสูง เช่น ทาวน์เฮาส์ อะพาร์ตเมนต์ และคอนโดมิเนียม
- ปัญหาสำคัญที่ทำให้แมวตกตึกมีอาการบาดเจ็บเรื้อรัง เนื่องจากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา เพราะเจ้าของบางคนมีความเชื่อผิดๆ ว่าไม่จำเป็นต้องพาแมวไปหาหมอ เพราะคงไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก
“แมวมี 9 ชีวิต ตกจากที่สูงได้ ยังไงก็ไม่ตาย” อาจเป็นความเชื่อที่ได้ยินกันมานาน เนื่องจากแมวมีการจัดระเบียบหรือตีลังกาหมุนตัวระหว่างที่พวกมันตกลงมาจากที่สูง ทำให้พวกมันไม่ตาย (ในทันที) ดังนั้นปัจจุบันบางคนจึงคิดว่าการเลี้ยงแมวในห้องพักที่อยู่บนตึกสูงอาจไม่ส่งผลเสียต่อ “แมว” มากนัก
รวมถึงยังเคยมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature เมื่อปี 1988 ในชื่อ “Why cats have nine lives” (ทำไมแมวถึงมี 9 ชีวิต ของ จาเร็ด ไดมอนด์ สัตวแพทย์จากโรงพยาบาลสัตว์ในนิวยอร์ก) ที่มีคำอธิบายรองรับในแนวคิดแมวมี 9 ชีวิตดังกล่าว โดยระบุถึงผลทดลองว่า แมวที่ตกจากที่สูง 90% ของแมวที่นำมาทดลองทั้งหมด 115 ตัวนั้น รอดชีวิตและไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก
แม้ว่าข้อมูลจากงานวิจัยในตอนนั้นจะได้ผลสรุปว่า แมวตกจากที่สูงมากๆ แล้วไม่ตาย แต่นั่นก็เป็นเพียงข้อมูลเชิงทฤษฎีเท่านั้น เนื่องจากแมวที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในการทดลอง มาจากข้อมูลสถิติของแมวที่เกิดอุบัติเหตุตกตึกแล้วถูกนำมารักษาที่โรงพยาบาลสัตว์ จึงไม่สามารถนำมาอ้างถึงประชากรแมวทั้งหมดในวงกว้างได้
อีกทั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เริ่มมีข้อมูลเกี่ยวกับการตกตึกของแมวเพิ่มมากขึ้น โดยหลายชุดข้อมูลบ่งชี้ตรงกันว่า การที่แมวตกจากตึกสูงทำให้พวกมันบาดเจ็บสาหัสไปจนถึงตายได้ในเวลาต่อมา หรือเรียกว่าอาการ “High-Rise Syndrome”
- รู้จัก “High-Rise Syndrome” อันตรายของแมวบนตึกสูง
แม้ว่าแมวจะสามารถจัดระเบียบร่างกาย หมุนตัว หรือตีลังกา ขณะที่พวกมันกำลังตกลงมาจากที่สูงได้ เพื่อรับแรงกระแทกและไม่ให้ร่างกายต้องบาดเจ็บหนัก ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่คนเลี้ยงแมวว่าคงไม่ใช่เรื่องอันตรายเท่าไรนัก หากจะเลี้ยงแมวบนอาคารสูงๆ แต่ความจริงแล้วเป็นความคิดที่ไม่ได้ถูกเสียทีเดียว
เนื่องจาก “แมว” ที่ตกจากที่สูงอาจได้รับบาดเจ็บสาหัส และเกิดขึ้นได้บ่อยกับประชากรแมวที่อาศัยอยู่บนตึกสูง มีชื่อเรียกว่า “High-Rise Syndrome” ซึ่งหมายถึง อาการบาดเจ็บของแมวที่ตกจากที่สูง ไม่ว่าจะเป็นระเบียงห้อง ต้นไม้ หรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการกระโดดของพวกมันเอง
รวมไปถึงตกจากที่สูงขณะนอนหลับเมื่อเข้าสู่ช่วงการนอนหลับลึก เพราะบางครั้งพวกมันอาจฝันว่ากำลังไล่หนูหรือทำกิจกรรมอื่นๆ ทำให้พวกมันเคลื่อนไหวตัวไปมาและตกลงมาจากที่สูงในที่สุด นอกจากนี้เมื่อตื่นขึ้นมาอาจเกิดความสับสนไปจนถึงเสียความสมดุลทางร่างกาย
แม้ว่าแมวหลายตัวจะรอดชีวิตจากการตกตึกสูง แต่ก็ต้องใช้เวลานานในการพักฟื้นร่างกายให้กลับมาเป็นปกติ ที่สำคัญยังต้องเสียค่ารักษาราคาแพงอีกด้วย ทั้งนี้ อาการจาก High-Rise Syndrome ส่วนมากที่พบจากอุบัติเหตุ “แมวตกตึก” ได้แก่
- กรามหัก
- กะโหลกแตก หรือร้าว
- แขน ขา หรือกระดูกเชิงกรานหัก
- ฟันหัก
- เกิดแผลบริเวณเพดานปาก
- ปอดทะลุ
- กระดูกสันหลังหัก
- กระเพาะปัสสาวะแตก
- การบาดเจ็บของอวัยวะภายในหรือมีเลือดออกในช่องท้อง
สำหรับการรักษาแมวตกจากที่สูงนั้น จะขึ้นอยู่กับลักษณะและความรุนแรงของอาการ เบื้องต้นสัตวแพทย์อาจให้ยาตามอาการ และในกรณีที่แมวบาดเจ็บสาหัสก็จำเป็นจะต้องอัลตราซาวนด์หรือเอกซเรย์ และแอดมิดในโรงพยาบาลสัตว์ ไปจนถึงการผ่าตัด
- ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ “แมวตกตึก” บาดเจ็บสาหัส
นอกจากการอาศัยอยู่บนตึกสูงจะเป็นความเสี่ยงหลักๆ ที่ทำให้เกิดปัญหา “High-Rise Syndrome” จนพวกมันได้รับบาดเจ็บรุนแรงแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นรวมอยู่ด้วย ดังนี้
1. แม้ไม่ได้อยู่อาศัยบนตึกสูง แต่บ้านที่มีหน้าต่างหรือระเบียงสูงก็อันตรายเช่นกัน ยิ่งสูงมากเท่าไร แมวก็ยิ่งเสียงบาดเจ็บเท่านั้น
2. ขนาดหรือน้ำหนักของแมว ถ้าพวกมันอ้วนมากก็มีโอกาสได้รับบาดเจ็บมากตามไปด้วย
3. แมวที่อยู่ในบ้านมากเกินไป หรือแมวที่เลี้ยงในระบบปิด มีความเสี่ยงได้รับบาดเจ็บจากการตกตึกมากกว่าแมวที่ออกไปข้างนอกบ่อยๆ เนื่องจากพวกมันไม่มีประสบการณ์กลางแจ้งมากนัก เมื่อพวกมันตกลงมาอาจคำนวณการจัดระเบียบร่างกายผิดพลาด
4. ในช่วงที่อากาศอบอุ่นขึ้น ก็เพิ่มความเสี่ยงให้แมวตกตึกได้เช่นกัน เมื่อเจ้าของบางคนมักเปิดหน้าต่างให้พวกมันออกมานั่งหรือนอนรับลมข้างนอกตัวอาคาร
นอกจากนี้อายุของแมวที่ต่างกัน ก็มีส่วนทำให้เกิดผลกระทบจากการตกตึกต่างกันไปด้วย เช่น แมวอายุน้อยมีโอกาสตกตึกมากกว่าแมวอายุมาก เพราะพวกมันมีความอยากรู้อยากเห็นและยังไม่มีประสบการณ์ในการปรับตัว
แต่ในแมวอายุมากพบว่าเมื่อพวกมันตกตึกกลับได้รับบาดเจ็บมากกว่าแมวอายุน้อย เพราะพวกมันค่อนข้างเชื่องช้าและมีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อน้อยลง ทำให้ไม่สามารถรองรับแรงกระแทกได้
แม้ว่า “High-Rise Syndrome” จะส่งผลเสียต่อแมวในระยะยาว หรืออาจทำให้พวกมันบาดเจ็บสาหัส และตายได้ในที่สุด แต่ด้วยความเชื่อที่ว่าแมวมี 9 ชีวิต ทำให้เจ้าของบางคนเลือกที่จะไม่พาแมวไปหาหมอหลังจากมันตกจากที่สูง เพราะเชื่อว่ามันคงไม่เป็นอะไรมากนัก และปรับตัวได้ระหว่างตกลงมา แต่นั่นเป็นความเชื่อผิดๆ ที่เรียกว่า “Survivorship Bias”
- “แมว 9 ชีวิต” ความเชื่อผิดๆ ที่ทำให้แมวตกตึก ไม่ได้รับการรักษา
รู้หรือไม่? ความเชื่อผิดๆ ที่ว่า แมวมี 9 ชีวิต ส่งผลให้พวกมันไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที เพราะเจ้าของบางคนเชื่อว่า การที่แมวตกจากที่สูงคือพฤติกรรมปกติของแมว และคงไม่ได้ส่งผลเสียต่อสุขภาพมากนัก ไม่จำเป็นต้องพาไปหาหมอให้เปลืองเงิน แต่ความจริงแล้วเป็นความคิดที่ผิดและทำให้แมวต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดไปเรื่อยๆ
ความเชื่อผิดๆ เหล่านี้เรียกว่า “Survivorship Bias” โดย Medium อธิบายความหมายไว้ว่า เป็นข้อผิดพลาดเชิงตรรกะในการตัดสินใจ ที่อาศัยข้อมูลเพียงแค่ส่วนเดียวหรือบางส่วน โดยไม่สนใจว่าเป็นข้อมูลที่ครบถ้วนหรือไม่ เช่น การรับฟังความเชื่อที่มีมาตั้งแต่โบราณ แต่กลับไม่ได้นำข้อแนะนำใหม่ๆ มาปรับใช้ร่วมด้วย
แม้จะเคยมีการศึกษาในปี 1988 ที่พบว่าแมวตกตึกมีโอกาสรอดชีวิต แต่ต่อมาในปี 1996 คอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ The Straight Dope ก็ได้อธิบายว่า จากปรากฏการณ์ดังกล่าวมีความเป็นไปได้น้อยมากที่เจ้าของจะพาแมวตกตึกเหล่านั้นไปหาหมอ จากความเชื่อที่ว่าพวกมันคงไม่เป็นอะไรมาก (หากไม่เห็นว่ามันเจ็บหนักจริงๆ)
ท้ายที่สุดแล้วเราไม่ควรไปคิดแทนแมวว่าพวกมันได้รับผลกระทบจากการตกตึกมากน้อยแค่ไหน แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วควรรีบพาแมวไปหาหมอเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาบาดเจ็บเรื้อรังตามมา นอกจากนี้ทาสแมวคนไหนที่เลี้ยงแมวบนตึกสูง จำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวังเกี่ยวกับแมวให้มากขึ้นเป็นพิเศษ เพราะบางครั้งหากหน้าต่างปิดไม่สนิทพวกมันก็มีโอกาสกระโดดออกไปเมื่อเห็นสิ่งล่อตาล่อใจ หรือแมวบางตัวแค่ได้ยินเสียงดังก็ตกใจจนหนีออกไปทางระเบียงได้เช่นกัน
ในเมื่อ “แมว” ไม่สามารถอธิบายความเจ็บปวดออกมาเป็นคำพูดได้เหมือนคน ดังนั้น เจ้าของจึงไม่ควรคิดแทนพวกมันว่าเมื่อตกลงมาจากที่สูงก็คงไม่เป็นอะไร แต่ในทางกลับกัน เจ้าของควรดูแลเอาใจใส่พวกมันให้มากขึ้นและระวังไม่ให้แมวเสี่ยงตกจากที่สูงน่าจะดีที่สุด
อ้างอิงข้อมูล : Medium (1), Medium (2), Animal Hearted และ ASPCA