จุดประกายให้ฟุตบอลไทย ไฟติดแล้วทำอย่างไรต่อ?
2 นัดยังไม่แพ้ใคร กับฟอร์มการเล่นที่ชนะหัวใจแฟนฟุตบอลทีมชาติไทยทุกคน!
นี่คือความสำเร็จขั้นต้นที่เหนือความคาดหมายแล้วสำหรับทีม “ช้างศึก” ที่เดินทางไปโชว์เพลงแข้งในรายการฟุตบอลเอเชียน คัพ 2023 อยู่ที่ประเทศกาตาร์ หลังจากที่ประเดิมได้สวยงามด้วยการเอาชนะคีร์กีซสถาน 2-0 ก่อนจะยันเสมอกับโอมานได้ 0-0 ในเกมเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้ทีมชาติไทยจะผ่านเข้ารอบน็อคเอาต์ค่อนข้างแน่นอนแล้ว 99 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากมี 4 แต้ม โดยอยู่ที่ว่าจะทำผลงานได้อย่างไรในการพบกับซาอุดีอาระเบียในเกมสุดท้าย ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งการจบด้วยการเป็นทีมแชมป์กลุ่ม รองแชมป์กลุ่ม หรือทีมอันดับ 3 (แต่จะเข้ารอบด้วยการเป็น 1 ใน 4 ทีมอันดับ 3 ที่ทำผลงานดีที่สุด)
ผลงานดังกล่าวทำให้กระแส “บอลไทยฟีเวอร์” เริ่มจะกลับมาอีกครั้ง คล้ายกับในยุคฟื้นฟูฟุตบอลไทยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ที่ได้ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เข้ามาจุดกระแสให้ทีมชาติไทยจนติดลมบนและเป็นยุคสมัยที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติฟุตบอลเมืองสยามยุคโมเดิร์น
เพียงแต่มันก็มีคำถามที่น่าสนใจตามมาว่า การจุดประกายครั้งใหม่ในยุคของ มาซาทาดะ อิชิอิ โค้ชชาวญี่ปุ่นจะนำไปสู่การกลับมาสู่ยุคทองของฟุตบอลไทยได้อีกครั้งหรือไม่
- ช้างศึกดีเกินคาด
แต่ก่อนจะมองไปถึงอนาคต ต้องชื่นชมกับผลงานที่น่าเหลือเชื่อของมาซาทาดะ อิชิอิ อดีตโค้ชผู้เป็นตำนานของทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และสมุทรปราการ ซิตี้ เอฟซี ที่เสกให้ทีมที่เคยเล่นแบบหมดทั้งไฟทั้งใจอย่างทีมชาติไทยกลับมาเล่นได้ร้อนแรงอีกครั้งอย่างไม่น่าเชื่อ
ทั้งๆที่มีปัญหาในการเตรียมทีมมากมาย ระยะเวลาในการเก็บตัวที่น้อยจนเหมือนไม่มีให้เก็บ ขนาดที่ทีมเต็งอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้เดินทางไปถึงกาตาร์ซ้อมรอแล้วทีมชาติไทยเพิ่งจะเรียกรวมตัวกัน
ไปจนถึงการบาดเจ็บของผู้เล่นแกนหลักอย่างธีรศิลป์ แดงดา และชนาธิป สรงกระสินธ์ ไปจนถึงเรื่องดราม่าการถอนตัวของเอกนิษฐ์ ปัญญา ตัวรุกดาวรุ่งที่ขอเลือกไปลุยในเส้นทางอนาคตกับอุราวะ เรดส์ ไดมอนด์ ทีมฟุตบอลในเจลีก ประเทศญี่ปุ่น
แต่ผลงานของไทยต้องถือว่ายอดเยี่ยมอย่างมาก ซึ่งต้องให้เครดิตทั้งนักเตะทุกคนและโค้ชอย่างอิชิอิซังที่วางกลหมากได้อย่างยอดเยี่ยม เปลี่ยนให้ไทยกลายเป็นทีมที่เล่นต่อบอลกันได้แม่นยำ และมีรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งบอลสั้น บอลยาว การเล่นเพรสซิงที่ดุดันตามสมัยนิยม
ที่สำคัญคือเกมรับที่แข็งแกร่งเหนียวแน่น 2 นัดที่ผ่านมาไทยไม่เสียแม้แต่ประตูให้คู่แข่งแม้แต่ลูกเดียว
ผลงานของนักเตะหลายคนสตาร์รุ่นใหม่ที่โดดเด่น อาทิ วีระเทพ ป้อมพันธุ์, พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี, นิโคลัส มิคเคลสัน และปฏิวัติ “อลีซง” คำไหม กลายเป็นความหวังว่าบางทีฟุตบอลไทยอาจจะกลับมาอีกครั้งก็ได้
- ทีมชาติแย่ ลีกทรุด ฉุดรั้งฟุตบอลไทย
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาวงการฟุตบอลไทยตกต่ำลงอย่างมาก แม้ว่าจะไม่ถึงกับยุคมืดเหมือนในอดีตที่ฟุตบอลลีกไม่มีคนดู ต้องจ้างตลกมาเล่นในช่วงพักครึ่งเวลาเพื่อสร้างความบันเทิงและแรงดึงดูด แต่สภาพก็ดูไม่ได้เลย
ปัญหานั้นเกิดจากการบริหารที่ล้มเหลวของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และไทยพรีเมียร์ลีก โดยที่ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้
ในส่วนของทีมชาติไทย จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นหลังจากการปลดเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง โค้ชที่ได้รับความนิยมอย่างสูงหลังเริ่มผลงานไม่ดีถึงทางตัน โดยที่ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ประมุขลูกหนังไทยได้กล่าวประโยคที่สร้างรอยร้าวขึ้นหลังไทยแพ้ญี่ปุ่นขาดลอย 4-0 ว่า “ใครไม่อาย ผมอาย”
หลังจากนั้นได้มีความพยายามในการหาโค้ชชื่อชั้นดีมาคุมทีม ไม่ว่าจะเป็น มิโลวาน ราเยวิช หรืออากิระ นิชิโนะ ที่เป็นคนมีฝีมือในวงการ แต่ทั้งคู่ก็ไม่สามารถทำให้ทีมชาติไทยกลับมาทำผลงานที่ดีได้เหมือนในยุคของจอมตีลังกาอย่างซิโก้เลย
ผลงานทีมชาติไทยยิ่งเล่นยิ่งแย่ ไร้ทิศทาง ไม่มีสไตล์ เมื่อรวมกับการจัดการที่เลวร้ายทำให้ทีมชาติไทยตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย ซึ่งสะท้อนผ่านอันดับในฟีฟ่า เวิลด์ แรงกิ้ง ที่ไม่มีใครอยากจำ
มาโน่ โพลกิ้ง อดีตโค้ชแบงค็อก ยูไนเต็ด ถูกดึงตัวมาช่วยงานเพื่อหวังกอบกู้ศรัทธาในระยะสั้น ซึ่งสามารถทำได้ดีระดับหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ดีไม่พอ ทีมผู้บริหารสมาคมฟุตบอลที่นำโดยผู้จัดการทีมอย่าง “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ตัดสินใจยอมทิ้งไพ่ใบสุดท้ายเดิมพันกับมาซาทาดะ อิชิอิ
ในส่วนของลีกฟุตบอลไทย ซึ่งความจริงแล้วคือรากแก้วของวงการทั้งหมด อาการยิ่งหนักกว่าทีมชาติ จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในยุคของบิ๊กอ๊อดเช่นกันในการประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดในปี 2563 โดยมีข่าวฮือฮาว่า Zense จะได้ลิขสิทธิ์นานถึง 8 ปี มูลค่ารวมแล้วทะลุถึงหมื่นล้านบาท
แต่การประมูลครั้งดังกล่าวล่ม! เมื่อสมาคมฟุตบอลฯ ขอยกเลิกสัญญากับ Zense ที่ไม่สามารถวางหลักประกันเป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคาร
หลังจากนั้นฟุตบอลไทยก็กลายเป็นของที่แทบไม่มีใครอยากได้อีกต่อไป ผู้ที่เคยอุ้มชูกันมาตลอดอย่างทรู วิชั่นส์ มีปัญหากับทางสมาคมฟุตบอลฯในเรื่องของการถ่ายทอดสด ขณะที่ AIS ที่เข้ามาสนับสนุนก็เป็นแค่เรื่องชั่วคราว
เพราะปัญหาอยู่ที่ “มูลค่า” ของไทยลีกไม่ได้สูงอย่างที่เคยมีการปั่นราคากันขึ้นไป
สุดท้ายเวรกรรมตกอยู่กับแฟนฟุตบอลไทยที่ถูกขอร้องให้ “ลงขัน” ช่วยกันจ่ายค่าชมฟุตบอลไทยฤดูกาลละ 500 บาท ผ่านผู้ให้บริหารเจ้าต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่งสำหรับลีกที่เคยมีมูลค่าถึงหลักพันล้าน
และท้ายที่สุดคือลมหายใจของฟุตบอลไทยที่รวยรินไปทุกที
สิ่งที่ฟุตบอลไทยต้องการคือการ “จุดประกาย” ครั้งใหม่อีกสักที และโชคดีที่ไฟมันถูกจุดติดในเอเชียน คัพที่ไม่ได้มีใครคาดหวังอะไรในครั้งนี้
- จุดเปลี่ยนฟุตบอลไทย
อานิสงส์ผลบุญของทีมชาติไทยในเอเชียน คัพ เป็นจุดเปลี่ยนทางความรู้สึกของแฟนฟุตบอลไทยที่เคยสิ้นหวังไปแล้วให้กลับมามีความหวังอีกครั้ง
แต่การจะคืนชีพวงการฟุตบอลไทยทั้งระบบ ไม่ใช่เรื่องที่จะมาจุดธูปขอกันอย่างเดียว มันต้องเกิดจากการเริ่มต้นช่วยกันสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
เรียกว่าต้องปูพื้น ก่ออิฐกันใหม่เลยทีเดียว
เรื่องใหญ่ที่สุดที่กำลังจะเกิดขึ้นคือการเลือกตั้งตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ซึ่งถูกมองว่าจะเป็น “จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญของวงการลูกหนังไทย หลังจากที่ประสบปัญหาการบริหารแบบไม่บริหารเหมือน “ปล่อยจอย” ของสมาคมชุดปัจจุบัน
ตัวเก็งเต็งหนึ่งที่ไม่น่าพลิกโผสำหรับตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลฯคนใหม่คือมาดามแป้ง ที่จะได้ศักดิ์และสิทธิ์ในการบริหารแบบเต็มตัว หลังจากที่เข้ามาช่วยประคับประคองทีมชาติไทยในช่วงที่ผ่านมาในบทผู้จัดการทีม
และถ้ามันไม่พลิกโผจริงๆ นี่จะเป็นบทพิสูจน์ฝีมือของ “มาดามแป้ง” เลยว่าจะนำนาวาลูกหนังแดนสยามไปข้างหน้าได้หรือไม่ เพราะตลอดที่ผ่านมาแม้จะจะมีความดีอยู่มาก แต่ก็ถูกกังขาในเรื่องของการทำงานจากแฟนฟุตบอล
เก่งไม่จริง แทรกแซงทีม ฯลฯ คือสิ่งที่แฟนบอลไทยตั้งคำถาม
เป็นหน้าที่ของมาดาม หรือใครก็ตามหากได้รับเลือกตั้งขึ้นมาที่ต้องพิสูจน์ผ่านการทำงาน บนความคาดหวังว่าเราจะได้เห็นการทำงานที่เป็นมืออาชีพ เป็นระบบ และหาทางทำให้ฟุตบอลไทยกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง ไม่ใช่เฉพาะกับทีมชาติ แต่รวมถึงฟุตบอลลีกด้วย
ปัญหาไม่ได้กระจุกอยู่แค่ในระดับลีกสูงสุด แต่ร้าวลึกลงไปถึงฟุตบอลระดับภูมิภาคและรากหญ้า เด็กไทยขาดโอกาสและการดูแลสนับสนุนที่ดีและเหมาะสม ฟุตบอลไทยสูญเสียไปมากแล้วทั้งเงินทอง (ในการว่าจ้างบริษัทต่างชาติมาช่วยดูแลแต่ล้มเหลวสิ้นเชิง) และเวลาซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถประเมินค่าได้
ได้แต่หวังว่าประกายไฟที่ร้อนแรงของทีมชาติไทยในเอเชียน คัพหนนี้ ไม่ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน มันจะไม่ได้เป็นแค่ประกายไฟเล็กๆที่เกิดขึ้นครู่เดียวแล้วดับมอดไป
นี่เป็นประกายไฟของความหวังที่เราไม่สามารถจะสูญเสียได้ ไม่ได้เลยจริงๆ