เชียร์ไทยลำบากไม่แพ้ชาติใดในโลก! ถอดบทเรียนหลังแมตช์ใหญ่ไทย-เกาหลี
45,458 จำนวนตัวเลขที่ปรากฏบนจอยักษ์ภายในราชมังคลากีฬาสถานคือจำนวนแฟนฟุตบอลที่เข้ามาชมและเชียร์ในแมตช์ใหญ่ศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนเอเชีย ระหว่างทีมชาติไทยปะทะเกาหลี ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีแฟนบอลเข้ามากันเต็มความจุชามอ่างยักษ์หัวหมากแห่งนี้
KEY
POINTS
- ปรบมือให้กับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ในยุค “มาดามแป้ง” นวลพรรรณ ล่ำซำ ในฐานะเจ้าภาพที่พยายามดูแลแฟนฟุตบอลอย่างดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นแฟนฟุตบอลไทยหรือแฟนบอลชาวเกาหลีที่เดินทางมาเชียร์กันจำนวนไม่น้อยก็ตาม
- ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวดแทนแฟนบอลที่การจะมาเชียร์ทีมรักต้องกลายเป็นเหมือนการบำเพ็ญเพียร ทดสอบความอดทนอย่างยิ่งยวด กว่าจะกลับมาถึงบ้านได้ก็สะบักสะบอมกันทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนมีรถ หรือคนที่ไม่ได้เดินทางด้วยรถส่วนตัวก็ตาม
- เชื่อว่าบรรดาสปอนเซอร์ต่างๆน่าจะอยากเข้ามา “มีส่วน” ในการสนับสนุนฟุตบอลไทยมากขึ้นหลังมองเห็นกระแสความนิยมที่กลับมา ตรงนี้ก็เป็นเรื่องของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯที่จะต้องบริหารจัดการกระแสนี้ให้ดีที่สุด
แน่นอนว่าคนเต็มสนามแบบนี้ย่อมทำให้เกิดความคึกคัก สร้างบรรยากาศและสีสันการเชียร์ได้เป็นอย่างดี เป็นสิ่งที่ทำให้คนรักฟุตบอลไทยและทีมชาติไทยใจฟูกันไปตามๆกัน เพราะนั่นหมายถึงเราได้ความหวังที่จะจุดกระแสเกมลูกหนังในบ้านเรากลับมาอีกครั้ง
แต่ในทางตรงกันข้ามกัน อีกด้านของบรรยากาศที่สวยงามคือภาพความโกลาหลอลหม่านของการจัดการแข่งขัน โดยเฉพาะจุดสลบสำหรับการจัดการแข่งขันที่สนามราชมังคลาคือเรื่องของการเดินทาง ที่ขาไปก็ว่ายากเหมือนขึ้นเขาเอเวอร์เรสต์แล้ว ขากลับเหมือนขึ้นเขาไกรลาสที่ยากยิ่งกว่าอีก
เรื่องนี้ทำไมจึงเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับบอลไทย? เราจะมีทางแก้ไขให้มันดีขึ้นได้หรือไม่?
การจัดการด้วยความใส่ใจ
แต่ก่อนจะพูดถึงปัญหา สิ่งที่น่าชมเชยสำหรับฝ่ายจัดการแข่งขันคือการพยายามจัดการแก้ไขปัญหาพื้นฐานหลายอย่างที่เคยเป็นเรื่องง่ายๆแต่ถูกมองข้าม
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดการทางเข้า-ออกจากสนาม กำหนดเส้นทางเดินให้แฟนฟุตบอล การเผื่อเวลาในการให้เข้าสนาม การพยายามอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยให้แก่แฟนฟุตบอลทุกคนอย่างดีที่สุด
โดยทั้งหมดนี้มีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลออกไปในวงกว้าง ซึ่งถือว่าช่วยแฟนฟุตบอลทีมชาติไทยที่จะเดินทางมาได้เยอะมาก เพราะไม่ใช่แฟนฟุตบอลทุกคนจะเป็นขาประจำอย่างเดียว คนที่ตัดสินใจเดินทางมาชมและเชียร์เป็นครั้งแรกก็มีไม่น้อย
งานนี้ปรบมือให้กับ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ในยุค “มาดามแป้ง” นวลพรรรณ ล่ำซำ ในฐานะเจ้าภาพที่พยายามดูแลแฟนฟุตบอลอย่างดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นแฟนฟุตบอลไทยหรือแฟนบอลชาวเกาหลีที่เดินทางมาเชียร์กันจำนวนไม่น้อยก็ตาม
สิ่งที่ยังอาจจะต้องปรับปรุงกันต่อไปคือเรื่องของห้องน้ำภายในสนาม ไปจนถึงเรื่องการจัดการดูแลแขกในระบบ “VVIP” ที่แม้จะเข้าใจได้เรื่องของมาตรการรักษาความปลอดภัยแต่ในอีกทางก็เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่แฟนบอลบางส่วนที่ได้รับผลกระทบที่ต้องรอแขกบุคคลสำคัญเดินทางออกจากสนามก่อนซึ่งกินระยะเวลาพอสมควร
ตรงนี้เชื่อว่าทุกอย่างจะค่อยๆดีขึ้นอย่างแน่นอน โดยมีความหวังว่าไทยจะสามารถจัดการแมตช์การแข่งขันที่มีจำนวนผู้ชมเกือบครึ่งแสนได้ในมาตรฐานเท่าเทียมกับนานาอารยะประเทศ แต่ก็มีบางสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากการควบคุมเหมือนกัน
ปัญหาการเดินทาง จุดสลบบอลไทย
เรื่องที่มาดามแป้งเองก็ช่วยไม่ไหวเหมือนกันคือเรื่องของการเดินทางไม่ว่าจะเป็นการไปหรือกลับจากสนาม ซึ่งเป็นปัญหาโลกแตกนับตั้งแต่เริ่มต้นมีราชมังคลากีฬาสถานเลยทีเดียว
นั่นเพราะด้วยทำเลที่ตั้งสนามแห่งนี้ไม่ได้อยู่ใจกลางเมือง ต้องเดินทางออกมาพอสมควร และย่านหัวหมาก รามคำแหงเองก็เป็นเส้นทางที่ปกติมีการสัญจรหนาแน่นอยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่มีระบบการขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะดูแลมวลชนขนาดนี้ได้
ต่อให้จะมีเรื่องของเส้นทางลัดเลาะพอสมควรที่จะเข้ามาถึงซอยรามคำแหง 24 แต่ถ้าเป็นวันที่มีกองเชียร์หลัก 4-5 หมื่นคนมาพร้อมๆกัน และเป็นวันธรรมดาไม่ใช่วันหยุดด้วยนั้น ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ได้ทันทีว่าการเดินทางจะยากเย็นเข็ญใจแค่ไหน
ปัญหานั้นไม่ได้อยู่แค่เรื่องของการเดินทางมา เพราะการเดินทางกลับยิ่งนรกมากกว่าเมื่อแฟนบอลทุกคนในสนามในระดับ “ครึ่งแสน” ออกจากสนามพร้อมๆกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นคือไม่ว่าจะเป็นถนนรามคำแหงด้านหน้า ถนนในซอยรามคำแหง 24 ที่อยู่ด้านหลัง ไปจนถึงซอยที่ทะลุออกถนนพระราม 9 ทุกที่รถติดแหงกหมด ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ใช่รถด้วยแต่เป็นคนที่ติดแหงกไปไหนไม่ได้ ในสภาพอากาศร้อนอบอ้าวหายใจลำบาก
เรื่องนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวดแทนแฟนบอลที่การจะมาเชียร์ทีมรักต้องกลายเป็นเหมือนการบำเพ็ญเพียร ทดสอบความอดทนอย่างยิ่งยวด กว่าจะกลับมาถึงบ้านได้ก็สะบักสะบอมกันทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนมีรถ หรือคนที่ไม่ได้เดินทางด้วยรถส่วนตัวก็ตาม
แต่ที่เจ็บที่สุดคือจริงๆแล้วใกล้ๆบริเวณการกีฬาแห่งประเทศไทยนั้นมีสถานีรถไฟฟ้าสายสีส้มที่สร้างเสร็จเกือบสมบูรณ์อยู่แล้ว แต่ยังไม่เปิดให้ใช้งานเพราะติดขัดในเรื่องข้อกฎหมายโดยที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะเคลียร์กันจบเมื่อไร
ทั้งๆที่หากเปิดใช้งานแล้วจะช่วยบรรเทาปัญหานี้ได้มาก เพราะจะเหมือนกับที่สนามกีฬาแห่งชาติสิงคโปร์ที่มีสถานีรถไฟฟ้า MTR อยู่หน้าสนามเหมือนกัน
ต่อให้มีคนจำนวนมากก็มีวิธีในการบริหารจัดการ จัดระเบียบแถว ปล่อยคนเป็นชุดๆไม่ให้แออัดเกินไปในสถานี โดยที่รถไฟจะเข้าสถานีอย่างต่อเนื่องเพื่อระบายคนออกไปให้เร็วที่สุด
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่แฟนบอลไทยต้องเฝ้ารออย่างอดทนต่อไปว่าเมื่อไรหนอเราจะมีโอกาสได้ไปเชียร์อย่างสบายใจกับเขาบ้าง
ส่วนแฟนบอลเกาหลีใต้ที่ตามมาเชียร์ น่าจะได้คอนเทนต์ Culture shock กลับไปแทน
กระแสบอลไทยไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
สำหรับผลการแข่งขันนั้นต้องบอกว่าทีม “แทกุก วอร์ริเออร์ส” งวดนี้แก้ตัวมาดีมากจากเกมที่แล้ว และพิสูจน์ให้เห็นถึงระดับชั้นที่เหนือกว่าทีมชาติไทยในทุกด้าน
ไม่ว่าจะเรื่องพละกำลัง ความแข็งแกร่ง ความรวดเร็ว ความเฉียบขาด และสำคัญที่สุดที่เติมเข้ามาในเกมนี้คือความนิ่ง ซึ่งทำให้ตั้งแต่เสียงนกหวีดแรกจนถึงเสียงนกหวีดสุดท้าย เกาหลีใต้ แทบไม่เปิดโอกาสให้ไทยได้สร้างปัญหาเหมือนในเกมที่โซล สเตเดียมเลย
ชัยชนะ 3-0 (และอาจจะบวกเพิ่มได้อีก 1-3 ลูกหากทีมเยือนคมกว่านี้) ถือเป็นชัยชนะที่เหมาะสมสำหรับพวกเขา แล้ว
สำหรับทีมชาติไทยน่าผิดหวังไหม? มองในแง่ของผลการแข่งขันและสถานการณ์ที่พลิกผัน (เพราะจีนถล่มสิงคโปร์ล้างตาเหมือนกัน) ก็น่าผิดหวัง สะท้อนผ่านแววตาและน้ำเสียงของ มาซาทาดะ อิชิอิ กุนซือทีมชาติไทยที่กลายเป็นขวัญใจแฟนๆไปแล้วอย่างรวดเร็ว
แต่ถ้ามองในแง่ของสิ่งที่ได้เรียนรู้จากเกมนี้ และมองถึงกระแสตอบรับจากแฟนๆแล้ว ก็ถือว่าน่าชื่นใจ
อาจจะมีบ้างสำหรับแฟนบอลที่ตำหนิติติงการเล่นในทำนองว่าไทยใจไม่สู้ ไม่แลก ไม่ลุยเลย แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่มองว่าขุนพล “ช้างศึก” ก็พยายามอย่างเต็มที่แล้วเหมือนกันในการรับมือทีมระดับท็อปของเอเชีย ที่จัดอยู่ในประเภทไม่ใช่ก็ใกล้เคียงคำว่า “เวิลด์คลาส”
แมตช์ที่จะตัดสินอนาคตจริงๆมองไปที่เกมกับจีนและสิงคโปร์ในอีก 3 เดือนข้างหน้ามากกว่า
อย่างไรก็ดีเชื่อว่าบรรดาสปอนเซอร์ต่างๆน่าจะอยากเข้ามา “มีส่วน” ในการสนับสนุนฟุตบอลไทยมากขึ้นหลังมองเห็นกระแสความนิยมที่กลับมา
ไม่ใช่เฉพาะทีมแต่รวมถึงนักเตะหลายคนก็เป็นขวัญใจขึ้นมา ซึ่งหลายๆคนก็กลายเป็นขวัญใจชุดใหม่อย่าง นิโคลัส มิคเคลสัน, ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา, สุภโชค สารชาติ หรือแม้แต่ ศุภนันท์ บุรีรัตย์ ผู้ลงมาสู้กับซนฮึงมินได้อย่างไม่เกรงศักดิ์ศรีสตาร์พรีเมียร์ลีก
ตรงนี้ก็เป็นเรื่องของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯที่จะต้องบริหารจัดการกระแสนี้ให้ดีที่สุด ไม่ใช่เพียงแค่รักษาประกายไฟของความหวังที่เกิดขึ้นมา แต่ต้องต่อยอดโหมให้ไฟนั้นแรงยิ่งขึ้นเพื่อจะได้ส่งต่อความอบอุ่นไปยังส่วนต่างๆของวงการฟุตบอลไทยที่หนาวเหน็บมานานหลายปี
กระแสฟุตบอลไทย ไม่ใช่เรื่องที่จะล้อเล่น เราควรต้องจัดการความคาดหวังนี้อย่างจริงจัง
เพราะถ้าไทยเล่นอย่างมีความหวัง ถึง รถไฟฟ้าสายสีส้ม จะยังไม่เปิด ต้องนั่งรถต่อเรือต่อวินมอเตอร์ไซค์ (ที่จะเรียกไปใกล้แค่ไหนก็ 100 บาท) แฟนฟุตบอลไทยก็พร้อมจะพิสูจน์หัวใจและความอดทนด้วยการมาเชียร์กันเต็มสนามอย่างแน่นอน
(ว่าแต่ใครมีตั๋วเกมหน้าทักมาครับ!)