Gen Z ในอินโดนีเซียอยากย้ายประเทศ แห่ติดแฮชแท็ก #หนีไปกันเถอะ

คนรุ่นใหม่อินโดนีเซียอยากย้ายประเทศ แห่ติดแฮชแท็ก #หนีไปกันเถอะ (#KaburAjaDulu) เหตุงานไม่มี เศรษฐกิจแย่ ผิดหวังนโยบายรัฐ ใฝ่ฝันหาคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้ในต่างแดน
KEY
POINTS
- Gen Z ในอินโดนีเซียแห่แชร์
KaburAjaDulu ("หนีไปกันเถอะ") ในโซเชียลมีเดีย แสดงถึงความต้องการย้ายประเทศไปทำงานต่างแดน เหตุขาดโอกาสการทำงานในประเทศ เศรษฐกิจย่ำแ
ไม่ใช่แค่ไทยที่เกิดกระแส “อยากย้ายประเทศ” แต่เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่าง “อินโดนีเซีย” ก็เกิดความเคลื่อนไหว Social Movement ผ่านโลกออนไลน์ในประเด็นดังกล่าวเช่นกัน โดย Gen Z ชาวอินโดฯ ออกมาสนับสนุนแนวคิดให้ผู้คนย้ายถิ่นฐานได้ ตอกย้ำถึงความหงุดหงิดที่เพิ่มมากขึ้นจากการขาดโอกาสการทำงานในประเทศ และความผิดหวังกับนโยบายของรัฐบาล
พวกเขาต่างออกมาแสดงความทะเยอทะยานที่จะย้ายไปต่างประเทศเพื่อทำงานหรือเรียนต่อ ผ่านการติดแฮชแท็ก #KaburAjaDulu ซึ่งแปลว่า “หนีไปกันเถอะ” บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น X และ TikTok อย่างล้นหลาม ผู้ใช้สื่อโซเชียลเจ้าของบัญชี Petra Novandi บนแพลตฟอร์ม X ถึงขั้นโพสต์ว่า “หากคุณไม่ได้มีความผูกพันกับประเทศนี้มากนัก โปรดพิจารณาใช้ #KaburAjaDulu อย่างจริงจัง”
ไม่มีงาน เศรษฐกิจแย่ คุณภาพชีวิตตกต่ำ สาเหตุหลักที่ Gen Z ในอินโดฯ อยากหนีไป
อิสมาอิล ฟาห์มี (Ismail Fahmi) ผู้สังเกตการณ์ปรากฏการณ์ดังกล่าว และเป็นผู้ก่อตั้ง Media Kernels Indonesia ซึ่งเป็นองค์กรที่ติดตามการสนทนาบนโซเชียลมีเดียในกรุงจาการ์ตา ให้ความเห็นว่า เหตุผลที่หนุ่มสาวชาวอินโดนีเซียออกมาเคลื่อนไหวในประเด็นดังกล่าว เกิดจาก “ความไม่พอใจทางเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิตที่ตกต่ำ ความอยุติธรรมทางสังคม นโยบายรัฐบาลที่ไม่เอื้อต่อการทำมาหากิน และความหวังในอนาคตที่ดีกว่า”
แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว ยกตัวอย่างผู้ใช้ X ที่ใช้ชื่อว่า Hafizha Anisa โพสต์แสดงความเห็นว่า แม้เบื่อกับปัญหาบางอย่างของประเทศนี้ แต่ในภาพรวมอินโดนีเซียก็มีข้อดีมากมาย ทั้งธรรมชาติ อาหาร สภาพอากาศ วัฒนธรรม ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องการ #KaburAjaDulu อยากยืนหยัดต่อสู่เพื่อการมีชีวิตที่ดีขึ้น และอยากใช้ชีวิตที่นี่อย่างสะดวกสบายในฐานะพลเมือง
ขณะเดียวกัน ฝั่งที่เห็นด้วยกับแนวคิดย้ายหนีออกจากแผ่นดินอินโดฯ ก็มีการแชร์ข้อมูลการหางานทำในต่างแดนมากมาย หนึ่งในผู้ที่มีประสบการณ์อย่าง โยเอล ซูมิโตร (Yoel Sumitro) ชาวอินโดนีเซียในเยอรมนี ได้แบ่งปันรายชื่อประเทศที่เหมาะจะเป็นจุดหมายปลายทาง โดยจัดอันดับตามเงินเดือน คุณภาพการใช้ชีวิต ความสะดวกในการขอวีซ่า และโอกาสในการทำงานในภาคเทคโนโลยี สำหรับพนักงานด้านเทคโนโลยี เขาแนะนำสิงคโปร์ อัมสเตอร์ดัม โตเกียว เบอร์ลิน และดูไบ
ซูมิโตร เกิดที่เมือง Solo ในชวาตอนกลาง ทำงานเป็นผู้อำนวยการอาวุโสด้านการออกแบบในบริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเบอร์ลินตั้งแต่ปี 2022 ชีวิตในต่างแดนของเขาสามารถสืบย้อนไปตั้งแต่ปี 2011 เมื่อเขาศึกษาต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาทำงานในสหรัฐอเมริกา เยอรมนี สิงคโปร์ และกลับมายังอินโดนีเซียในปี 2018 แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกติดขัดเรื่องงาน เขาจึงตัดสินใจย้ายไปทำงานต่างประเทศอีกครั้ง โดยได้เป็นผู้บริหารในทีมองค์กรระดับนานาชาติ
ขณะที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาลอย่าง อับดุล คาดีร์ คาร์ดิง (Abdul Kadir Karding) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคุ้มครองแรงงานต่างด้าว ได้สะท้อนความเห็นต่อประเด็นนี้ผ่านหนังสือพิมพ์จาการ์ตาโกลบไว้ว่า กระทรวงของเขาพร้อมที่จะช่วยเหลือคนรุ่นใหม่ชาวอินโดนีเซียให้ได้รับทักษะที่จำเป็นสำหรับงานในต่างประเทศ แต่ก่อนอื่น อยากให้แน่ใจว่าเป็นการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทำงานตามเป้าหมาย ไม่ใช่หนีไปโดยไม่มีทิศทาง
หนุ่มสาวชาวอินโดฯ อาจไม่สามารถย้ายประเทศได้จริง เป็นเพียงการต่อต้านวัฒนธรรม?
แม้ว่าการที่ชาวอินโดนีเซียมองหาโอกาสที่ดีกว่าในต่างประเทศจะไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ แต่ ยานัวร์ นูโกรโฮ (Yanuar Nugroho) นักวิชาการอาวุโสแห่งสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak ในสิงคโปร์ มองว่าแรงจูงใจของผู้คนในปัจจุบันนั้นซับซ้อนมากขึ้น
“ตอนนี้หนุ่มสาวชาวอินโดนีเซียพยายามหาทางออกจากประเทศอย่างจริงจัง เพราะรู้สึกว่าไม่มีความหวังในประเทศนี้ พวกเขาไม่เห็นการพัฒนาใดๆ ในอินโดนีเซีย ไม่ว่าจะทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และไม่มีความแน่นอนทางกฎหมาย” เขาอธิบาย แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่คาดว่าจะมีการอพยพย้ายถิ่นฐานของผู้คนจำนวนมาก เนื่องจากไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหางานในต่างประเทศ
“นี่เป็นเพียงการแสดงความเห็นและความรู้สึกของผู้คน แต่จะไม่มีการอพยพครั้งใหญ่ หนุ่มสาวหลายคนกำลังขู่เพื่อแสดงให้เห็นว่าถ้าพวกเขามีเงิน พวกเขาจะหนีไปจากที่นี่ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นการต่อต้านทางวัฒนธรรมของพวกเขามากกว่า” ยานัวร์ สะท้อนความเห็นส่วนตัว
นโยบายรัฐไม่เอื้อต่อการเติบโตในอาชีพการงาน นักวิจัยเก่งๆ ก็หนีไปหมด
อีกหนึ่งประเด็นหลักที่ทำให้ประชากรวัยทำงานในอินโดฯ อยากย้ายประเทศไปหางานทำในต่างแดน ก็เพราะว่านโยบายของรัฐบาลอย่างไม่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตก้าวหน้าในอาชีพการงาน ยกตัวอย่างเคสของ ปรีมาวัน ซัตริโอ (Primawan Satrio) ชาวอินโดนีเซียที่อาศัยอยู่ในเกาหลีใต้ตั้งแต่ปี 2020 เขาไม่ต้องการอาศัยอยู่ในอินโดนีเซียอย่างถาวรเนื่องจากนโยบายของรัฐบาล
“เมื่อเร็วๆ นี้ มีการตัดงบประมาณด้านการศึกษาและการวิจัยของรัฐ ในขณะที่ภรรยาของผมเป็นนักวิจัยทางการแพทย์ สิ่งนี้ส่งสัญญาณว่าอินโดนีเซียไม่ใช่สถานที่สำหรับแรงงานทักษะสูงและนักวิจัย ผมไม่คิดว่าเราจะกลับไปอินโดนีเซีย เพราะภรรยาของผมอยากเติบโตในสายงานนี้ในต่างประเทศ เรากำลังพิจารณาที่จะสมัครขอถิ่นที่อยู่ถาวรในเกาหลีใต้ในปีหน้า” ปรีมาวันบอก
รัฐบาลชุดปัจจุบันของอินโดนีเซียกำลังมุ่งลดงบประมาณ 306 ล้านล้านรูเปียห์ (ราวๆ 63 แสนล้านบาท) จากงบประมาณที่จัดสรรให้กับกระทรวงและหน่วยงานของรัฐ ซึ่งรวมถึงหน่วยงานวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ และกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยหน่วยงานแรกจะถูกตัดงบประมาณ 1.4 ล้านล้านรูเปียห์ หรือเกือบ 25% ของงบประมาณทั้งหมด 5.8 ล้านล้านรูเปียห์
ปรีมาวันทำงานเป็นนักสรรหาแรงงานชาวอินโดนีเซียให้กับบริษัทในเกาหลีใต้และญี่ปุ่น มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการให้คำแนะนำแก่ชาวอินโดนีเซีย ที่ต้องการย้ายออกจากบ้านเกิดเพื่อไปทำงานในสองประเทศนี้ โดยเขาให้คำแนะนำผ่านการแชทกลุ่มที่เขาสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มส่งข้อความทันที Discord ซึ่งมีสมาชิกถึง 6,400 คน (ตัวเลข ณ ต้นเดือนกุมภาพันธ์)
แนวคิดนี้จะผลักสู่ปรากฏการณ์สมองไหลในอินโดนีเซียหรือไม่?
จากความเคลื่อนไหวแนวคิด #หนีไปกันเถอะ บนโลกโซเชียลในอินโดนีเซียดังกล่าว ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจะเกิดปรากฏการณ์สมองไหลขึ้นมาอีกครั้ง (คนเก่งๆ หนีออกจากประเทศบ้านเกิดไปหมด) ซึ่งเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นกับอินโดนีเซียมาแล้วในปี 2023 ตอนนั้นมีชาวอินโดนีเซียได้รับสถถานะพลเมืองสิงคโปร์ระหว่างปี 2019-2022 ไปจำนวนมากเกือบ 4,000 คน
แต่สำหรับ สุมิตโร ผู้ซึ่งทำงานในเบอร์ลินบอกว่า เขาไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีสมองไหลเพราะเขาไม่เห็นข้อเสียใดๆ หากชาวอินโดนีเซียทำงานในต่างประเทศมากขึ้น ยกตัวอย่างประเทศอินเดีย ก็ได้รับประโยชน์มากมายจากพลเมืองที่ทำงานในสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป ไม่ว่าจะจากเงินส่งกลับบ้าน หรือการแลกเปลี่ยนความรู้กับแรงงานในประเทศเมื่อพวกเขากลับบ้าน เป็นต้น
แม้ว่าในตอนนี้อาจเป็นเพียงการพูดคุยออนไลน์ แต่ยานัวร์จากสถาบัน ISEAS มองว่ารัฐบาลควรตื่นตัวและมุ่งปรับปรุงนโยบายให้สอดคล้องกับความต้องการของแรงงานในประเทศ โดยเฉพาะต่อชนชั้นกลาง เช่น การเปิดโอกาสการจ้างงาน การบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการหางานทำในอินโดนีเซีย เพราะความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตคือสิ่งที่ผลักดันให้ผู้คนอยากย้ายประเทศ
อ้างอิง: South China Morning Post