ลูกจ้างโพสต์วิจารณ์บริษัทบนโซเชียล ระวัง! อาจตกงานไม่รู้ตัว

คิดให้ดีก่อนโพสต์บ่นเรื่องงาน วิจารณ์บริษัทบนโซเชียลมีเดีย หากกล่าวเท็จให้เกิดความเสียหาย ระวังตกงานไม่รู้ตัว เว้นแต่โดนให้ออกไม่เป็นธรรม สามารถร้องเรียนได้
KEY
POINTS
- วัยทำงานต้องรู้! การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับที่ทำงานบนโซเชี
ไม่ว่าจะเจอเรื่องแย่แค่ไหนในที่ทำงาน การระบายอารมณ์หรือป่าวประกาศให้สาธารณชนรับรู้ผ่านโลกออนไลน์อาจไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมนัก เพราะการบ่นนายจ้างหรือวิจารณ์บริษัทบนโซเชียลมีเดียอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดเช่น ตกงานไม่รู้ตัว ดังนั้นพนักงานที่กำลังคิดจะโพสต์วิจารณ์บริษัทของตนจึงควรพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน
ยกตัวอย่างกรณีล่าสุด เหตุเกิดที่บริษัท Tesla เมื่อนายจ้างตัดสินใจเลิกจ้างผู้จัดการคนหนึ่งที่โพสต์ข้อความเชิงลบเกี่ยวกับซีอีโอ "อีลอน มัสก์" บน LinkedIn ตามรายงานของ The New York Times ด้านตัวแทนจาก Tesla ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีนี้
ทั้งนี้ สำหรับ กฎหมายแรงงานสหรัฐฯ มีบางกรณีที่ให้สิทธิ์พนักงานพูดแสดงความเห็นบางประการเกี่ยวกับนายจ้างได้ แต่บางสถานการณ์ก็มักจะซับซ้อนและมีข้อจำกัดอยู่มาก ส่วนใหญ่นายจ้างมักมีอำนาจตัดสินใจค่อนข้างมากเกี่ยวกับการเลิกจ้างพนักงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากโพสต์ดังกล่าวส่งผลเสียต่อบริษัท
“โดยทั่วไป นายจ้างสามารถเลิกจ้างพนักงานได้แทบทุกกรณี รวมถึงการโพสต์วิจารณ์บริษัทบนโซเชียลมีเดียหรือที่อื่นๆ ” เจฟฟรีย์ เฮิร์ช (Jeffrey Hirsch) ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายแรงงานและการจ้างงานจากมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา กล่าว
การโพสต์วิจารณ์บริษัทบนโซเชียลมีเดีย ในไทยแบบไหนผิดกฎหมาย?
สำหรับในประเทศไทย หากพนักงานโพสต์บ่นหรือโพสต์ด่านายจ้างบนโซเชียลมีเดีย (ไม่ว่าจะช่องทางใดก็ตาม) จนบริษัทได้รับความเสียหาย ก็เข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดทางกฎหมาย อาจถูกเลิกจ้างโดยที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยก็ได้
สิ่งที่ลูกจ้างคนไทยต้องรู้เป็นอันดับแรกเลยก็คือ “การโพสต์วิจารณ์นายจ้างหรือบริษัทบนโซเชียลมีเดีย” จะเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย “พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119" และ "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583” ดังนี้
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 หมวด 11 ค่าชดเชย มาตราที่ 118-122
“มาตรา 119 นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งเลิกจ้างในกรณีหนึ่งกรณีใด” ดังต่อไปนี้ เช่น วรรคสอง(2) จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย, วรรคสาม(3) ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
ยกตัวอย่างเช่น ลูกจ้างโพสต์บ่นหรือด่านายจ้างบนโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะในช่องทางใดก็ตาม และการกระทำนั้นสร้างความเสียหายแก่บริษัท แบบนี้ก็ถือว่าเข้าข่ายผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ฉบับนี้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583
มาตรา 583 ถ้าลูกจ้างจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณก็ดี ละทิ้งการงานไปเสียก็ดี กระทำความผิดอย่างร้ายแรงก็ดี หรือทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตก็ดี ท่านว่านายจ้างจะไล่ออกโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้
ทั้งนี้มีคดีตัวอย่าง (อ้างอิงจาก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8206/2560) ที่เข้าข่ายกระทำความผิด ได้แก่ มีกรณีที่ลูกจ้างโพสต์ข้อความบนเฟสบุ๊กว่า “เมื่อไหร่จะได้ในสิ่งที่ควรได้ว๊ะ...ต้องกินต้องใช้ ไม่ได้แดกดินแดกลมนะ”
และ “ใครที่เกลียดเจ้านายเป็นบ้าเป็นหลัง โดนเจ้านายกลั่นแกล้ง หยุดซะเถอะความเกลียด ความโกรธ ปล่อยให้เขาเป็นอย่างนั้นไปคนเดียว เพราะถ้ามีเจ้านายเฮงซวยจริงๆ ก็ถือว่าเจ้านายของคุณมีทุกข์เยอะที่ชีวิตเขาต้องมาเจอลูกน้องเกลียดและเขาก็จะไม่มีความสุขในสิ่งที่เขาเป็น ยุ่งเหยิงยิ่งกว่า... 3 ปีมานี้เขาบอกว่าขาดทุนตลอด อยู่ได้ไงตั้ง 3 ปี ...ให้กำลังใจกันได้ดีมากขาดทุนทุกเดือน”
จากข้อความข้างต้น ศาลพิจารณาว่า เข้าข่ายโดนข้อหา ละเมิด พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 2541 มาตรา 119(2) : เพราะข้อความดังกล่าวอยู่ในฐานที่ลูกจ้างตั้งใจทำให้นายจ้างเสียหาย นายจ้างจึงเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องชดเชยและบอกล่วงหน้า
อีกทั้งยังผิด ป.พ.พ. มาตรา 583 : เพราะกระทำสิ่งที่ไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่การงานของตนให้ถูกต้องและสุจริต ซึ่งมาตรานี้ได้ให้นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยหรือบอกกล่าวลูกจ้างล่วงหน้า
ทั้งนี้ มีข้อควรระวังที่ลูกจ้างต้องรู้ว่าข้อความเชิงบ่นแบบไหนโพสต์แล้วไม่เข้าข่ายผิดกฎหมาย และแบบไหนโพสต์บนสื่อโซเชียลมีเดียแล้วสร้างความเสียหายแก่บริษัทและเข้าข่ายผิดกฎหมาย
1. หากโพสต์ในทำนองที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่านายจ้างเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยที่ไม่ดี นายจ้างจะไม่สามารถทำการเลิกจ้างได้ เช่น ช่วงนี้งานล้นมาก งานโหลดไม่ไหว ต้องรีบปิดงบฯ เหนื่อยสุดๆ (การตัดพ้อส่วนตัวโดยไม่กล่าวถึงที่ทำงาน)
2. หากข้อความที่โพสต์มีลักษณะในการระบายอารมณ์ความไม่พอใจ และมีความหมายที่ทำให้เข้าใจได้ว่า นายจ้างกลั่นแกล้งลูกจ้าง ทำให้นายจ้างดูเป็นคนที่ไม่ดี เอาเปรียบลูกจ้าง ทำให้ภาพลักษณ์นายจ้างเสียหาย หรือทำให้เสียหายหนัก หากโพสต์แบบนี้เข้าข่ายผิดกฎหมายตามข้างต้น
การโพสต์วิจารณ์บริษัทบนโซเชียลมีเดีย ในสหรัฐแบบไหนจะถูกเลิกจ้าง?
ถัดมาขอยกตัวอย่างการคุ้มครองแรงงานในสหรัฐอเมริกา กรณีที่พนักงานโพสต์วิจารณ์บริษัทผ่านสื่อโซเชียลมีเดียนั้น จะถูกลงโทษหรือเลิกจ้างหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง รวมถึงประเภทของสัญญาการจ้างงาน หากลูกจ้างอยู่ภายใต้สัญญาแบบ “จ้างงานตามความสมัครใจ” (at-will employment) นายจ้างสามารถเลิกจ้างพนักงานได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องให้เหตุผล เว้นแต่การเลิกจ้างนั้นจะละเมิดกฎหมาย เช่น กฎหมายห้ามเลือกปฏิบัติ หรือขัดต่อข้อตกลงที่มีเงื่อนไขกำหนดไว้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม กฎหมายแรงงานแห่งชาติ (National Labor Relations Act - NLRA) ของสหรัฐ ให้ความคุ้มครองพนักงานที่มีส่วนร่วมในการ “ทำกิจกรรมร่วมกัน” (concerted activity) ซึ่งหมายถึง การพูดคุยหรือวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสภาพการจ้างงานร่วมกับเพื่อนร่วมงาน หรือพูดในนามของเพื่อนร่วมงาน การโพสต์ข้อความในลักษณะแบบนี้สามารถทำได้
แต่ทั้งนี้ ข้อความในโพสต์นั้นๆ ต้องเกี่ยวข้องกับนโยบายหรือเงื่อนไขการทำงานที่มีผลกระทบต่อพนักงานหลายคน ไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์เชิงลบที่สร้างความเสียหาย
มาร์ก คลูเกอร์ (Mark Kluger) ทนายความบริษัทเอกชนผู้ให้คำแนะนำด้านนโยบายแรงงาน สะท้อนมุมมองในประเด็นนี้ว่า “แต่หากเป็นโพสต์ที่พูดถึงนายจ้างในเชิงลบแบบกว้าง ๆ เช่น ‘บริษัทนี้แย่มาก’ หรือ ‘เจ้านายฉันเป็นคนแย่’ โพสต์เหล่านี้จะไม่ได้รับความคุ้มครอง และอาจนำไปสู่การเลิกจ้างพนักงานเจ้าของโพสต์ได้”
สำหรับพนักงานภาครัฐ เช่น ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ กฎหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ มาตราแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่หนึ่ง (First Amendment) อาจให้ความคุ้มครอง หากโพสต์ของพวกเขาถูกเผยแพร่ในเวลานอกงาน และเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์สาธารณะ โดยไม่ก่อให้เกิดความวุ่นวายในที่ทำงาน
นายจ้างสามารถกำหนดนโยบายด้านโซเชียลมีเดียได้มากน้อยแค่ไหน?
แม้ว่านายจ้างสามารถกำหนดนโยบายเกี่ยวกับโซเชียลมีเดียเพื่อป้องกันความเสียหายต่อบริษัทได้ แต่ก็ไม่สามารถห้ามพนักงานโพสต์ข้อความวิจารณ์นายจ้างได้โดยสิ้นเชิง
“คณะกรรมการแรงงานแห่งชาติ (NLRB) เคยพิจารณาเรื่องนี้ และตัดสินว่านโยบายที่กว้างเกินไป อาจทำให้พนักงานรู้สึกถูกจำกัดสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเงื่อนไขการจ้างงาน ซึ่งขัดต่อกฎหมาย” คลูเกอร์ อธิบายเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม นายจ้างสามารถห้ามพนักงานโพสต์ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับบริษัท หรือเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับ เช่น กลยุทธ์ทางธุรกิจ หรือข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้เปิดตัว
ในแง่ของนโยบาย บริษัทมักจะแนะนำให้พนักงานระมัดระวังในการโพสต์เนื้อหาที่อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ขององค์กร และบางแห่งอาจกำหนดให้พนักงานระบุว่าเนื้อหาที่โพสต์เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ใช่ความคิดเห็นของบริษัท
หากคิดว่าถูกไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรม พนักงานควรทำอย่างไร?
หากพนักงานเชื่อว่าตนถูกเลิกจ้างเพราะการแสดงความคิดเห็นบนสื่อโซเชียล และการโพสต์นั้นก็เข้าเกณฑ์การได้รับความคุ้มครอง สามารถยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการแรงงานแห่งชาติ (NLRB) ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ปัญหาคือ คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามีกฎหมายคุ้มครองเรื่องนี้ และแม้แต่นักกฎหมายบางคนก็ไม่รู้ว่าพนักงานที่ไม่ได้อยู่ในสหภาพแรงงานก็สามารถใช้สิทธินี้ได้
หากมีพนักงานร้องเรียนในประเด็นนี้ NLRB จะดำเนินการตรวจสอบข้อร้องเรียนดังกล่าว โดยติดต่อไปยังนายจ้างเพื่อพิจารณาว่าคดีมีมูลหรือไม่ แล้วทำการไกล่เกลี่ย หากนายจ้างไม่ยอมไกล่เกลี่ย คณะกรรมการจะนำคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณา และหากศาลตัดสินให้พนักงานชนะ พวกเขามีสิทธิ์กลับเข้าทำงานและได้รับค่าจ้างย้อนหลัง
อย่างไรก็ตาม นักกฎหมายมองว่า โลกออนไลน์ยังคงเป็นพื้นที่เสี่ยงสำหรับพนักงานที่อยากโพสต์บ่นหรือวิจารณ์นายจ้างของตน คลูเกอร์ บอกว่าทุกวันนี้เขาได้รับคำถามจากบริษัทเกี่ยวกับพฤติกรรมของพนักงานบนโซเชียลมีเดียมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดทางการเมืองหรือทางสังคม เช่น การเลือกตั้ง หรือการประท้วง ฯลฯ
อ้างอิง: CNN, The New York Times