โลกการทำงานเดือด นายจ้างไม่เอา Gen Z ปฏิเสธตั้งแต่ยื่นใบสมัครงาน

ช่วงนี้ในโลกออนไลน์เกิดกระแสแชร์กรณีนายจ้างโพสต์ปฏิเสธวัยทำงานรุ่น Gen Z บางแห่งขอไม่รับเข้าทำงานตั้งแต่ยื่นใบสมัคร เหตุมองคนรุ่นใหม่ไม่ตั้งใจ - ไม่พร้อมทำงาน
KEY
POINTS
- เกิดกระแสบริษ
ช่วงหลังๆ มานี้เกิดกระแสบริษัทหลายแห่งไม่รับเด็กจบใหม่รุ่น Gen Z เข้าทำงานกันเยอะมาก มีหลายโพสต์ในโลกออนไลน์ออกมาตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมช่วงนี้เห็นนายจ้างหลายแห่งปฏิเสธคนรุ่นใหม่ทำงานทุกกรณี บางแห่งก็เล่าประสบการณ์การทำงานกับเด็ก Gen Z แล้วไม่เวิร์ก ต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นไม่ตั้งใจประชุม ชอบเล่นมือถือ เรื่องเยอะ เป็นตัวปัญหา ฯลฯ
ยกตัวอย่างโพสต์หนึ่งในแพลตฟอร์ม Reddit (เว็บบอร์ดในต่างประเทศ) เจ้าของกระทู้เล่าว่า ตนเองกำลังสรรหาบุคลากรเพื่อสร้างทีมงานด้านการเงินทีมใหม่ โดยต้องการวัยทำงานทั้งระดับอาวุโส ระดับกลาง และระดับจูเนียร์ ปรากฏว่าพนักงานรุ่นใหญ่สรรหามาได้อย่างราบรื่น แต่รุ่นจูเนียร์กลับมีปัญหามากที่สุด บางคนขอขึ้นเงินเดือนสูงทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ บางคนตอบรับงานแล้ว แต่ก่อนเริ่มงานวันเดียวก็อีเมลแจ้งว่าจะไม่มาทำงานเพราะได้งานที่อื่น เป็นต้น เจ้าของกระทู้ถึงขั้นกุมขมับ และขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสมาชิกในห้องสนทนา
กรณีคล้ายๆ กันนี้เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน และถูกแชร์กันไปทั่วโลกออนไลน์ ซึ่งต่างก็สะท้อนถึงปัญหาการจ้างงานชาว Gen Z ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจหลายฉบับที่ชี้ว่า หลายปีมานี้นายจ้างเริ่มไม่ต้อนรับคนรุ่นใหม่เข้าทำงานมากขึ้น
ผลสำรวจหลายฉบับชี้ตรงกัน Gen Z ไม่พร้อมทำงาน นายจ้างไม่อยากจ้างงาน
ปรากฏการณ์นี้เริ่มมองเห็นชัดเจนมาตั้งแต่ปี 2023 โดยมีรายงานจาก Voice of America (VOA) ที่เผยผลสำรวจความคิดเห็นของกรรมการ และผู้บริหารจำนวน 800 คนในสหรัฐ ในเรื่องการรับคนเข้าทำงาน พบว่า นายจ้างราว 40% หลีกเลี่ยงการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่ เพราะมองว่าคนเหล่านั้นไม่พร้อมสำหรับชีวิตการทำงาน อย่างเช่น มีหลายคนมักหนีบพ่อแม่ผู้ปกครองมาสัมภาษณ์งานด้วย
ขณะที่ 21% ของนายจ้างชี้ว่า ตนต้องเจอกับผู้สมัครงานที่ปฏิเสธที่จะเปิดกล้องในระหว่างการสัมภาษณ์งานออนไลน์, ไม่ยอมสบตาผู้สัมภาษณ์, แต่งกายไม่เหมาะสม, ใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสม เหล่านี้สะท้อนถึงความไม่เป็นมืออาชีพ
นอกจากนี้ยังมีรายงานผลสำรวจจาก Intelligent ในเดือนสิงหาคม 2024 พบว่า 75% ของนายจ้างในสหรัฐ ไม่พอใจกับเด็กจบใหม่เกือบทั้งหมดที่พวกเขาจ้างงานในปีนี้ และมากไปกว่านั้นคือ 6 ใน 10 บริษัทตัดสินใจไล่พนักงานกลุ่ม Gen Z ออกจากงานทั้งที่เพิ่งทำงานได้ 1 ปี รวมถึงนายจ้างบางส่วนหลีกเลี่ยงไม่จ้างงานเด็กรุ่น Gen Z ที่จบใหม่ สาเหตุหลักๆ เพราะพวกเขามองว่า คนรุ่นใหม่ขาดแรงจูงใจ, ขาดความคิดริเริ่ม, ขาดความเป็นมืออาชีพ, ทักษะการสื่อสารไม่ดี, มาประชุมสายบ่อยครั้ง, แต่งกายไม่เหมาะสม และใช้ภาษาที่เหมาะสมในที่ทำงาน ฯลฯ
ล่าสุดในปี 2025 มีรายงานการศึกษาวิจัยใของ Hult International Business School ร่วมกับ Workplace Intelligence ค้นพบว่า บริษัทหลายแห่งทั่วโลกแม้กำลังเผชิญกับการขาดแคลนบุคลากรทักษะสูงอย่างมาก แต่ก็ยังคงต้องการนำ AI มาทำงาน แทนที่จะจ้างงานเด็กจบใหม่
โดยผู้เชี่ยวชาญด้าน HR มากถึง 89% ไม่อยากจ้างงานบัณฑิตจบใหม่ ด้วยเหตุผลคล้ายๆ กับข้างต้นคือ ไม่พร้อมกับโลกการทำงาน, ขาดแนวคิด Global mindset, ขาดทักษะการทำงานเป็นทีม, ขาดมารยาททางธุรกิจ ฯลฯ และผู้เชี่ยวชาญด้าน HR 37% อยากนำหุ่นยนต์หรือ AI เข้ามาทำงานแทนบัณฑิตจบใหม่อีกด้วย
Gen Z ไม่พร้อมทำงาน เพราะเป็นตัวปัญหา หรือระบบการศึกษาแย่ลง?
จากข้อมูลทั้งหมดข้างต้นดูเหมือนนายจ้างส่วนใหญ่จะตัดสินไปแล้วว่า Gen Z คือ “ตัวปัญหา” ในโลกการทำงานยุคนี้ แต่นั่นเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่? หรือเป็นเพียงผลสะท้อนของปัญหาเชิงสังคมหรือปัญหาระบบการศึกษาที่หลายฝ่ายอาจจะยังมองข้ามไป จนอาจแก้ไขไม่ถูกจุดหรือกลายเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ
ตามรายงานของ Hult International Business School ข้างต้น ได้ศึกษาลึกลงไปในฝั่งของเด็กจบใหม่ และพบว่า สาเหตุจริงๆ ที่ทำให้ Gen Z ไม่พร้อมกับโลกการทำงานส่วนหนึ่งมาจากมหาวิทยาลัยเองก็ไม่ได้เตรียมพวกเขาให้พร้อมสู่โลกการทำงานเช่นกัน พวกเขาสะท้อนว่า “ประสบการณ์การทำงานนั้นมีค่าอย่างยิ่ง” ลูกจ้างที่เป็นเด็กจบใหม่ 77% บอกว่าเวลาครึ่งปีในที่ทำงานพวกเขาเรียนรู้ได้มากกว่าการเรียนปริญญาตรีสี่ปีเสียอีก และ 55% บอกว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้เตรียมพวกเขาให้พร้อมสำหรับงานที่พวกเขาทำอยู่ในปัจจุบันแต่อย่างใด
ผู้เชี่ยวชาญยอมรับว่า หลักสูตรวิทยาลัยแบบดั้งเดิมไม่ได้มอบสิ่งที่นักศึกษาต้องการ เพื่อช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในโลกการทำงานยุคใหม่ ที่เทคโนโลยีก้าวหน้ารวดเร็วในปัจจุบัน การเรียนแต่ทฤษฎีอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว สถาบันต่างๆ ต้องเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาด้วยวิธีใหม่ๆ เน้นที่การสร้างทั้งทักษะ และทัศนคติที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ต่อเนื่อง นี่เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเตรียมเด็กให้พร้อมสู่โลกการทำงาน
ไม่เพียงเท่านั้น การฟันธงด้วยอคติว่าวัยทำงานรุ่น Gen Z เป็นตัวปัญหาไปหมดทุกคน โดยที่ยังไม่ได้สอบถามหรือพูดคุยถึงสาเหตุที่แท้จริง แล้วเลือกที่จะเลิกจ้างหรือไม่ให้โอกาสเข้าทำงานเลยตั้งแต่เริ่มสมัครงาน ก็อาจเป็นการตัดโอกาสการเติบโตของบริษัทไปด้วย
ตามมุมมองของ จอย เทย์เลอร์ (Joy Taylor) กรรมการผู้จัดการของบริษัทที่ปรึกษา Alliant อธิบายประเด็นนี้ว่า นายจ้างยุคนี้จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับคนรุ่น Gen Z หากไล่พวกเขาออก “นั่นจะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่” การดูแลเวิร์กโฟลว์ของพนักงานทุกรุ่นในองค์กรให้ราบรื่น มีความสำคัญต่อการรับมือความท้าทายทางธุรกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2025 ตั้งแต่การวางแผนการสืบทอดตำแหน่ง ไปจนถึงการปรับแนวทางวัฒนธรรมองค์กร
ไม่รับ Gen Z เข้าทำงานอาจเป็นเรื่องผิดพลาด องค์กรไม่เติบโตระยะยาว
จอย เทย์เลอร์ บอกอีกว่า ไม่ว่านายจ้างจะชอบหรือไม่ก็ตาม แต่คนรุ่น Gen Z กำลังนำมุมมองแบบ Blue Ocean มาสู่วัฒนธรรมการทำงานยุคใหม่ และการต่อต้านความเปลี่ยนแปลงนี้ ถือเป็นการทำร้ายบริษัทอย่างมาก เพราะในอนาคตผู้นำองค์กรรุ่น Gen X หรือ Baby Boomers จำนวนมาก จะไม่สามารถจัดตั้งองค์กรให้ประสบความสำเร็จ และมีความยืดหยุ่นในระยะยาวได้
อีกทั้งยังพลาดโอกาสในการใช้ประโยชน์จากศักยภาพของคนรุ่นใหม่อีกด้วย หากมองในอีกมุมจะพบว่า วัยทำงานรุ่น Gen Z มีพรสวรรค์บางอย่างที่นายจ้างสามารถเรียนรู้ได้ เช่น ความรู้ด้านดิจิทัล จิตวิญญาณของผู้ประกอบการ และความกล้าคิดกล้าพูด เธอแนะนำให้บริษัทต่างๆ เรียนรู้ที่จะชื่นชมความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของพนักงานทุกเจเนอเรชัน เน้นส่งเสริมการทำงานซึ่งกันและกัน สิ่งนี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ และจะเป็นผู้ชนะของสนามธุรกิจในที่สุด
ในทำนองเดียวกัน ผลการศึกษาจาก Slingshot Group ในหนังสือ Future Trends Ahead 2025 ได้ยกตัวอย่างธรรมชาติอย่างหนึ่งของคนรุ่น Gen Z ที่แตกต่างไปจากรุ่นอื่น นั่นคือ พวกเขาคาดหวังให้หัวหน้าสามารถตอบคำถาม “ทำไม” กับการทำงานต่างๆ ได้ เพราะคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังของงาน พวกเขาต้องการรู้ว่า ทำไมต้องทำสิ่งนี้? และพยายามเชื่อมโยงกับค่านิยมของตนเอง และองค์กรพวกเขา
หากองค์กรเปิดกว้าง พร้อมที่จะเข้าใจ และเต็มใจสื่อสารกันมากขึ้น ก็ย่อมทำให้ Gen Z ทำงานร่วมกับพนักงานรุ่นพี่ได้ดีขึ้น สร้างโอกาสในการทำงานข้ามเจเนอเรชัน สร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนสามารถแสดงศักยภาพของตนได้อย่างเต็มที่ โดยยังคงความเคารพ และเข้าใจในความแตกต่าง ท้ายที่สุดแล้วองค์กรที่ประสบความสำเร็จ จะเป็นองค์กรที่สามารถใช้ความหลากหลายนี้เป็นพลังในการขับเคลื่อนนวัตกรรม และการเติบโตอย่างยั่งยืน
อ้างอิง: VOA, Newsweek, Hult.edu
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์