ดร.ฟรอยด์...คุณหมอช่วยด้วยจิตป่วย

 ดร.ฟรอยด์...คุณหมอช่วยด้วยจิตป่วย

พักรบจากหนังไวรัสมาดูหนังที่อาจเครียดน้อยกว่า (บางคนบอกเครียดหนักกว่าเดิม) กับภาพยนตร์แนวจิตวิเคราะห์ ในซีรีส์เรื่องใหม่จากออสเตรีย-เยอรมนี สังกัดค่าย Netflix เรื่อง Freud เพิ่งคลอดออกมา 8 ตอน ยังไม่ทันนับเรตติ้งแต่คาดว่าน่าจะมีซีซั่น 2 ให้ชมกัน

         Freud หรือ ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) บิดาแห่งทฤษฎีจิตวิเคราะห์  มีผลงานทางวิชาการและงานวิจัยมากมาย ศึกษาวิเคราะห์จิตใจมนุษย์จนได้คำอธิบายว่า “จิตใจทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์” เรื่องราวของนักจิตวิทยาผู้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก มีคนเอามาสร้างเป็นภาพยนตร์, หนังทีวี, สารคดี และประวัติชีวิตของเขามากมายหลายเวอร์ชั่น ซึ่งถ้าจะดูให้สนุกก็ควรมีบทตื่นเต้นชวนติดตาม พร้อมกันก็อธิบายถึงความเจ็บป่วยบิดเบี้ยวในใจ ขุดคุ้ยถึงเบื้องลึกในใจและคลายปม เช่นซีรีส์เรื่องล่าสุดนี้มีเนื้อหาชวนติดตาม ฟรอยด์ ยังคงทำหน้าที่เป็นนักจิตวิทยา เปิดคลินิกรักษาผู้ป่วยทางจิตในเวียนนา ตามประวัติชีวิตของเขาจริง ๆ ซึ่งมีคู่หมั้นที่ติดต่อกันทางจดหมาย การสะกดจิตรักษาผู้ป่วย และผู้คนในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี นั้นเสพโคเคน และป่วยเป็นโรคฮิสทีเรียกันมากมาย

158661458543

       ซิกมันด์ ฟรอยด์ ในวัยหนุ่ม         

       เรื่องสนุกยิ่งขึ้น เมื่อนักจิตวิเคราะห์เข้าไปพัวพันกับคดีฆาตกรรม การวางแผนอันซับซ้อน การสะกดจิต มีการทรงเจ้าเข้าผี และการสืบสวนสอบสวนทำให้หนังมีเสน่ห์ ชวนลุ้น ฟรอยด์ในเวอร์ชั่นนี้ดูเหมือน เชอร์ล็อค โฮล์ม ผสมหนังเรื่อง Abraham Lincoln: Vampire Hunter ประธานาธิบดีลินคอล์น แห่งอเมริกา สมัยศตวรรษที่ 18 ออกตามล่าแวมไพร์

158661465033

       ดร.ฟรอยด์ ในภาพที่เคยคุ้น (ภาพจาก wikipedia)   

       Freud นำแสดงโดยดาราหนุ่มชาวออสเตรียน วัย 36 ปี สูง 182 เซนติเมตร Robert  Finster ไม่รู้จักหรอกเพราะเขาเล่นหนังอยู่ในประเทศบ้านเกิด ฟินส์เตอร์เกิดในครอบครัวนักดนตรี โตขึ้นมาก็เป็นนักไวโอลินและเป็นนักร้อง เริ่มอาชีพการแสดงกับละครเวที เรื่องของ “ฟรอยด์” ส่งให้นักแสดงโนเนม (แต่ดังในออสเตรีย)  เป็นที่รู้จัก สาว ๆ เริ่มถามกันเข้ามาแล้วว่า  พ่อหนุ่มคนนี้เป็นใคร มาจากไหน คำตอบคือก็เป็นคนออสเตรียนนี่แหละ และรับบทฟรอยด์ ที่เป็นชาวออสเตรียนเหมือนกัน

158661518346

        Freud ซีรีส์เรื่องใหม่จาก Netflix (ภาพ: Netflix)

          หนังที่อิงเรื่องราวของฟรอยด์มีหลายเรื่อง เนื่องจากเป็นผู้มีชื่อเสียง เช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ที่โลกยกย่อง  เช่น ชาร์ลส์ ดาร์วิน, เอดิสัน, นิโคลา เทสลา, เลโอนาร์โด ดาวินชี่ และใครต่อใครอีกหลายคนที่สร้างคุณูปการไว้แก่โลก เช่นเรื่องล่าสุด A Dangerous Method นำแสดงโดยดาราดัง 3 คน มี ไมเคิล ฟาสส์เบนเดอร์ (Michael Fassbender)  รับบท ดร.คาร์ล ญุง (Carl Jung) นักจิตวิทยาชาวสวิส ลูกศิษย์ของฟรอยด์ ซึ่งรับบทโดย วิกโก้ มอเทนเซ่น (Vicgo Mortensen) นางเอก เคียร่า ไนท์ลี่ รับบทเป็น ซาบิน่า (Sabina Spielrein) สาวรัสเซียที่เป็นคนไข้ของหมอญุง ที่รักษากันไปมาจนเกิดเป็นความสัมพันธ์เกินคนไข้ ทั้งสามคนเป็นบุคคลที่มีอยู่จริง เรื่องนี้บทเด่นอยู่ที่ ดร.ญุง ที่รักษาอาการฮิสทีเรียของซาบิน่า โรคฮิสทีเรียไม่ใช่โรคขาดผู้ชายไม่ได้อย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นโรคป่วยทางจิตทำให้สูญเสียสติและส่งผลให้บุคลิกภาพเปลี่ยน ความรุนแรงขึ้นอยู่กับอาการของโรค ในเรื่องนี้เคียร่า เล่นเป็นสาวสติหลุด กรีดร้อง คางยื่น ปากเบี้ยว คือป่วยจริง เคียร่าแสดงดีจนเรียกว่าโอเวอร์-แอ็ค และน่าจะเป็นโรคขาดอาหารด้วยนะเพราะเธอผอมมาก

158661532843

         A Dangerous Method (ภาพ: Universal Pictures)

158661554325

           ดร.ฟรอยด์ กับ ดร.ญุง ใน A Dangerous Method

             ภาพยนตร์เกี่ยวกับซิกมันด์ ฟรอยด์ มีอีกหลายเรื่อง มีทั้งหนังโรงและหนังทีวี อาทิ The Secret Diary of Sigmund Freud (1984)

ของค่าย 21 Century Fox ฉายทางทีวี หนังเงียบมาก ปีถัดไป 1985 เรื่อง Nineteen Nineteen เรื่องนี้คุณหมอฟรอยด์มาแต่เสียง เป็นเรื่องราวของอดีตคนไข้มาเจอกัน หลังผ่านการบำบัดจากหมอฟรอยด์ หนังทีวี Young Dr.Freud (2002) หนังสารคดีประวัติชีวิตของ ดร.ฟรอยด์ อีกเรื่องเป็นหนังสั้นกึ่งแฟนตาซีเรื่อง The Death of Salvador Dali (2005) อาร์ทิสต์ชื่อดัง ดาลีไปปรึกษาหมอฟรอยด์ ให้ช่วยวิเคราะห์งานศิลปะที่ดูบ้า ๆ ของเขา เรื่องนี้มีเค้าโครงจริงอยู่ด้วย และดาลีก็เคยวาดภาพเหมือนให้ ดร.ฟรอยด์

          คนยุคศตวรรษที่ 18-19 คงป่วยเป็นฮิสทีเรียกันเยอะ อย่างที่หมอฟรอยด์พูดไว้ในซีรีส์ ถ้าไม่มีงานวิจัยหรือหลักการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบาย ก็ต้องบอกว่าเป็นพวกวิปลาส ติงต๊อง หรือผีเข้า วิญญาณสิง...แต่ทุกสิ่งมีคำอธิบาย กระทั่งความฝัน หมอฟรอยด์ ก็บอกได้ว่า จริง ๆ แล้วจิตใต้สำนึกของคุณคิดอะไรอยู่

          บางทีหมอก็กลายเป็นคนไข้ และนักเรียนก็กลายเป็นครู อย่างที่ ดร.ฟรอยด์ เคยเขียนไว้ว่า...คนไข้ที่เขาหมกมุ่นมากที่สุดก็คือตัวเขาเอง...