‘รถเข็น’ รักษ์โลก อัพเกรด ‘สตรีทฟู้ด’
นวัตกรรม “รถเข็น” รักษ์โลกเพื่ออัพเกรด “สตรีทฟู้ด” เมืองไทย สู่มาตรฐานสากล ที่ทั้งอร่อย สะอาด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาลองลิ้มชิมรสเสน่ห์อาหารริมทาง
‘ร้านอาหารข้างทาง’ หรือ ‘สตรีทฟู้ด’ (Street Food) ขึ้นชื่อว่าเป็นเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่สร้างชื่อให้กับประเทศไทยอย่างมาก ยิ่งเฉพาะในกรุงเทพฯ ถือเป็นแดนสวรรค์ของนักชิมที่จะได้สัมผัสกับอาหารที่หลากหลายแถมเลือกทานได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ โดยสำนักข่าว CNN เคยยกให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีอาหารริมทางดีที่สุดในโลก 2 ปีซ้อน ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่ดึงดูดนักนักเที่ยวให้มาลองลิ้มชิมรสอาหารไทย ที่นอกจากมีวัตถุดิบให้เลือกมากมายแล้วยังมีความคุ้มค่าด้านราคาที่ไม่แพง
สตรีทฟู้ดไม่เพียงช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวได้อย่างดี แต่ยังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศอย่างมาก ข้อมูลจากยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (Euromonitor International) บริษัทวิจัยระดับโลก เปิดเผยเมื่อปลายปีที่แล้ว ระบุว่ามูลค่าตลาดธุรกิจอาหารไทยโดยรวม ในปี 2560 อยู่ที่ 410,000 ล้านบาทต่อปี ในจำนวนนี้มากกว่า 60 – 70 เปอร์เซ็นต์ เป็นร้านอาหารประเภทสตรีทฟู้ด ซึ่งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 276,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2564 จะเพิ่มขึ้นเป็น 340,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราขยายตัวเฉลี่ย 5.3 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
ดังนั้นเพื่อยกระดับสตรีทฟู้ดไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) ได้พัฒนา ‘นวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกเพื่อสตรีทฟู้ด’ ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยยกระดับมาตรฐานทั้งความอร่อย ความสะอาด ถูกสุขอนามัย รวมทั้งยังมีระบบที่ช่วยลดการสร้างมลพิษและขยะของเสีย เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ดร.อัมพร โพธิ์ใย ผู้อำนวยการศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) สวทช. กล่าวว่า นวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกเพื่อสตรีทฟู้ด มีจุดเริ่มต้นมาจาก ‘ทีมกะเพราซาวห้า’ โดยคุณพงษ์มนัส มังคละศรี ที่ได้พัฒนาระบบรถเข็นขายกะเพราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คู่ขนานกับการพัฒนาน้ำมันกะเพราที่จะช่วยทำให้กลิ่นและรสชาติของกะเพราสม่ำเสมอ เพื่อเข้าร่วมโครงการ GSB Street Food เวทีประกวดคิดค้นนวัตกรรมเพื่อยกระดับสตรีทฟู้ดไทยให้ก้าวไกลด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ภายใต้ความร่วมมือระหว่างธนาคารออมสิน และ สวทช.
“ทีมกะเพราซาวห้าได้พัฒนาสร้างรถเข็นสตรีทฟู้ดขึ้นด้วยประสบการณ์ของตัวเอง แต่ผลที่ได้ยังไม่เป็นที่พอใจเท่าที่ควร เนื่องจากรถมีน้ำหนักมากเกินไปและระบบดูดควันไม่เหมาะสมกับการใช้งาน ทาง DECC สวทช. ในฐานะที่ปรึกษาด้านนวัตกรรมในโครงการ GSB Street Food ได้เข้ามาช่วยให้คำแนะนำพัฒนารถเข็นกะเพราซาวห้าให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์มากขึ้น จนกระทั่งทีมกะเพราซาวห้าสามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้สำเร็จ ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นการแข่งขันไปแล้ว ทีมผู้เชี่ยวชาญ DECC ยังได้ปรับปรุงพัฒนาระบบรถเข็นเพิ่มเติม เพื่อให้ได้เวอร์ชั่นที่สมบูรณ์แบบเหมาะสมต่อการใช้งานจริงมากที่สุด”
โดยโจทย์อันท้าทายของการพัฒนาต่อยอดรถเข็นสตรีทฟู้ด ดร.อัมพร บอกว่า มี 3 องค์ประกอบหลักสำคัญคือต้องทำให้รถเข็นมีน้ำหนักเบาที่สุด เพิ่มประสิทธิภาพการดูดควันให้สามารถใช้งานในพื้นที่ปิดได้ รวมทั้งปรับปรุงระบบบำบัดน้ำให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ปัจจุบัน สวทช. สามารถพัฒนานวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกที่พร้อมใช้งานสมบูรณ์แบบ จำนวนทั้งสิ้น 3 โมเดล ได้แก่
- รถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี, ถังบำบัดและซิงค์น้ำ
- รถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี, ถังบำบัดและซิงค์น้ำ +ระบบดูดควัน
- รถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี, ถังบำบัดและซิงค์น้ำ+ ระบบดูดควัน + หัวเตาแก๊ส 2 หัว
โดยตั้งเป้าส่งมอบนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกไม่น้อยกว่า 100 คัน แก่ผู้ประกอบการสตรีทฟู้ดให้ได้ใช้งานจริงเพื่อประกอบกิจการหลังสถานการณ์โควิด โดยแต่ละโมเดลได้สนับสนุนงบประมาณบางส่วนเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระผู้ประกอบการและกระตุ้นให้เกิดการใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรมด้วย ผู้ประกอบการสตรีทฟู้ดที่สนใจ ดูข้อมูลเพิ่มเติมภายใน 31 ก.ค. 63 ที่ http://www.decc.or.th/streetfood/
ทั้งนี้ ‘เฮียวัตร ปังตอทอง’ แฟรนไชส์ ข้าวเหนียวหมู-เนื้อ อาหารสำเร็จรูปพร้อมทาน คือหนึ่งในผู้ประกอบการที่นำนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกเพื่อสตรีทฟู้ดไปใช้งานจริง โดยมุ่งหวังให้ความสำคัญกับสุขอนามัยหน้าร้านค้า ซึ่งนอกจากจะสร้างความมั่นใจเรื่องความสะอาดให้กับลูกค้าแล้ว ยังช่วยยกระดับ ‘สตรีทฟู้ด’ ไปอีกขั้น
วิวัฒน์ กุลวิจิตร์รัตน์ เจ้าของธุรกิจข้าวเหนียวหมู-เนื้อ แบรนด์เฮียวัตร ปังตอทอง กล่าวว่า ความสะอาด ณ จุดขายสินค้า หรือหน้าร้านค้านั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่ผู้ประกอบการสตรีทฟู้ดมักมองข้ามเรื่องนี้ไป อาจเพราะว่าความไม่สะดวกสบายของหน้าร้าน อีกทั้งอุปกรณ์ต่างๆ บนรถเข็นแบบเดิมๆ ไม่มีฟังก์ชันที่เหมาะสมกับการล้างทำความสะอาดและการบำบัดน้ำก่อนปล่อยสู่ท่อระบายน้ำ ทำให้เป็นปัญหาที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสตรีทฟู้ดไทยอย่างมาก
ดังนั้นตนจึงนำ ‘รถเข็นรักษ์โลก’ จาก สวทช. มาเป็นตัวช่วยเพื่อทำให้เกิดสุขอนามัยที่ถูกต้อง ณ จุดขายสินค้า และเป็นการเปลี่ยนมุมมองใหม่ของผู้บริโภคให้มองสตรีทฟู้ดไทยว่ามีมาตรฐานขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า โดยหวังให้ความตั้งใจในการนำนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกนี้มาใช้กับธุรกิจเป็นตัวอย่างที่จะช่วยยกระดับอาชีพสตรีทฟู้ดให้เป็นที่ยอมรับกับลูกค้าทุกกลุ่ม
“เรื่องความสะอาด สตรีทฟู้ดที่อยู่ตามข้างทางทุกวันนี้ เราจะโดนต่อว่าอยู่เรื่อยๆ ในเรื่องภาชนะทุกอย่างไม่ค่อยสะอาดแต่ด้วยความที่เราเป็นคนไทย เราจะชินกับสิ่งนี้ แต่ถ้าเป็นนักท่องเที่ยว หรือชาวต่างชาติ เขาไม่ได้ชินเหมือนเรา ฉะนั้นการมีรถเข็นรักษ์โลกที่มีบ่อดักไขมัน มีอ่างล้างมือ มีความจำเป็นมากสำหรับสตรีทฟู้ด”
วิวัฒน์ บอกด้วยว่า การมีนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกมาใช้กับแบรนด์สินค้าของตนเองนั้น ช่วยเสริมภาพลักษณ์ในการขายสินค้าให้ดีขึ้น เพราะแม้จะเป็นสตรีทฟู้ดขายข้าวเหนียวหมู-เนื้อ ธรรมดา ก็อยากให้เป็นร้านที่ได้มาตรฐาน มีฟังก์ชันที่เป็นมิตรต่อลูกค้าและสิ่งแวดล้อม ทั้งอ่างล้างมือ บ่อบำบัดน้ำทิ้ง พร้อมในคันเดียว สามารถเคลื่อนย้ายไปขายยังทำเลต่างๆ ได้โดยไม่สร้างความเดือดร้อนด้านมลพิษและสิ่งแวลดล้อมให้กับสถานที่หรือชุมชนนั้นๆ อีกทั้งยังช่วยขยายทำเลการขายได้หลากหลายและขยายการเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น
ที่สำคัญทำให้ผู้บริโภคทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัยในราคาที่ไม่แพง