ใครเป็นเจ้าของฉัน? (สุนัขจรจัด)
"สุนัขจรจัด" หนึ่งในปัญหาสังคมไทยที่ต้องเผชิญและยังรอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ในการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง สะท้อนคำถามว่า กฎหมายไทยรองรับประเด็นปัญหานี้มากน้อยแค่ไหน? ใครควระเป็นผู้รับผิดชอบ?
การควบคุมสุนัขจรจัด ยังคงเป็นปัญหาที่สังคมไทยเผชิญอยู่และยังคงไม่มีวิธีการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร สาเหตุหนึ่งมาจากการขาดความรับผิดชอบของผู้เลี้ยงสุนัข กล่าวคือไม่มีความรู้ความเข้าใจในการดูแลสุนัข เมื่อดูแลไม่ได้ก็นำมาปล่อยทิ้งในที่สาธารณะ หรือปล่อยให้เป็นภาระของวัด จนเป็นเหตุให้เกิดผลกระทบต่อสังคมในด้านสุขอนามัย ด้านความปลอดภัย และด้านความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม
แม้หลายครั้งที่ผ่านมา รัฐบาลจะพยายามแก้ไขปัญหาสุนัขจรจัดโดยใช้มาตรการหลายอย่าง เช่น การนำสุนัขจรจัดมาพักพิงยังศูนย์พักพิงสุนัข การทำหมัน การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และการขึ้นทะเบียนจัดทำบัตรประจำตัวสัตว์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น มาตรการทางกฎหมายก็เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่สำคัญ แต่กลับพบว่ายังไม่มีความชัดเจนนัก ความคลุมเครือของกฎหมายเองก็เป็นเหตุให้เกิดความสับสนว่า แท้จริงแล้วใครต้องรับผิดชอบเมื่อเกิดปัญหาสุนัขจรจัดสร้างความเดือดร้อนเสียหายให้คนในสังคม
พระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ.2557 ได้ให้คำนิยามคำว่า เจ้าของสัตว์ หมายความว่า เจ้าของกรรมสิทธิ์ และให้หมายความรวมถึงผู้ครอบครองสัตว์หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแล ไม่ว่าจะได้รับมอบหมายจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ให้ดูแลด้วย ส่วนพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 ได้ให้นิยามเจ้าของ ซึ่งหมายความว่า เจ้าของกรรมสิทธิ์และผู้ครอบครอง ในกรณีของสัตว์หากไม่ปรากฏเจ้าของหรือไม่สามารถหาเจ้าของได้ให้หมายความรวมถึงผู้เลี้ยง ผู้ให้ที่อยู่อาศัยและผู้ควบคุมสัตว์ด้วย
นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติกฎหมาย ว่าด้วยเรื่องของการทำละเมิดจากสัตว์ไว้ตามมาตรา 433 ว่า “…เจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของ จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น…” ซึ่งยากจะตีความให้ชัดเจนว่า “ผู้รับเลี้ยงรับรักษา” มีขอบเขตแค่ไหนถึงจะเรียกว่ารับเลี้ยงรับรักษา
หากตีความตามตัวบทกฎหมายนี้โดยตรง จะสามารถเข้าใจได้ว่าผู้รับเลี้ยงรับรักษานั้น มิใช่เจ้าของเดิมตั้งแต่แรกเริ่ม แต่อาจเป็นผู้ดูแลชั่วคราวด้วยผลของสัญญาหรือในกรณีที่เจ้าของเดิมสละการครอบครองสัตว์ดังกล่าวนั้นแล้ว จึงรับมาอยู่ในความดูแลแทน
ในประเด็นนี้ เฉลิมวุฒิ ศรีพรหม ได้กล่าวไว้ในความรับผิดทางแพ่งเพื่อความเสียหายอันเกิดจากสุนัขว่า หากเป็นในกรณีที่สุนัขจรจัดมีผู้ให้ที่อยู่อาศัยในชายคาบ้าน ก็ควรให้ถือว่าเจ้าของบ้านเป็นเจ้าของสัตว์นั้นแล้วโดยไม่ต้องพิจารณาพฤติการณ์อื่น ที่จะชี้ว่าเป็นเจ้าของหรือไม่ เช่น การให้อาหาร การออกค่ารักษาพยาบาลให้สัตว์ตัวนั้นๆ แต่ก็จะมีปัญหาอีกว่าในกรณีที่เป็นสัตว์พลัดหลงโดยที่เจ้าของเดิมยังไม่ได้สละการครอบครอง ผู้ที่ให้ที่พักพิงในชายคาจะเป็นเจ้าของสัตว์นั้นหรือไม่ ความเป็นเจ้าของทางพฤตินัยยังคงคลุมเครือในการตีความอยู่มาก
ส่วนคำพิพากษาฎีกาที่เป็นบรรทัดฐานในประเด็นการกำหนดผู้ที่ต้องรับผิดชอบในการละเมิดจากสัตว์นั้น ผู้รับเลี้ยงรับรักษา หมายถึง ผู้ซึ่งดูแลรักษาสัตว์นั้นอยู่ในขณะเกิดเหตุ โดยจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ก็ได้ อาจรับดูแลรักษาโดยสัญญา เช่น ผู้รับจ้างเลี้ยงสัตว์หรือสัตวแพทย์ หรืออาจรับเลี้ยงไว้โดยข้อเท็จจริงก็ได้ เช่น เพื่อนบ้านไปต่างประเทศ เราเห็นสุนัขอดอาหารไม่มีใครดูแล ก็เลยเอามาเลี้ยงดูให้ โดยให้อาหารและให้มาอยู่ในบ้าน หากในระหว่างนั้นเกิดไปกัดใครเข้า เราก็ต้องรับผิด ทั้งนี้ ผู้เช่าหรือยืมสัตว์ก็ถือว่าเป็นผู้ดูแลรักษาตามความหมายนี้เช่นกัน (ฎ.973/2479, ฎ.1067/2496, ฎ.889/2510)
สำหรับกรณีสุนัขจรจัดที่ไม่มีเจ้าของอย่างแท้จริง ทั้งทางด้านนิตินัยและพฤตินัย มีเพียงแนวคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่เป็นบรรทัดฐานในเรื่องนี้คือ คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.1751/2559 ได้วินิจฉัยไว้ว่า องค์การบริหารส่วนตำบลต้องเป็นผู้รับผิดชอบในกรณีที่สัตว์จรจัดในชุมชนทำละเมิด โดยหากพบเจอสัตว์จรจัดที่ไม่มีป้ายประจำสัตว์แล้วไม่จับสัตว์มาควบคุมไว้ในความดูแล องค์การบริหารส่วนตำบลนั้นมีความผิดฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่
จะเห็นได้ว่า ผู้รับผิดชอบในประเด็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสุนัขจรจัดที่ไม่มีเจ้าของ จะต้องเป็นองค์การบริหารส่วนตำบล ดังนั้น ประเด็นที่ว่าใครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สัตว์หรือเป็นผู้ครอบครองหรือเป็นผู้รับเลี้ยงรับรักษาสัตว์จึงมีความสำคัญ ซึ่งหากไม่ปรากฏบุคคลดังกล่าว ความรับผิดจะต้องตกอยู่กับของหน่วยงานได้กล่าวมาในข้างต้น
กล่าวโดยสรุป ในทางปฏิบัติคงเป็นไปได้ยากที่จะสืบหาเจ้าของสุนัขจรจัดเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นแล้ว ต่างคนก็ต่างอ้างว่าไม่ได้เป็นเจ้าของสุนัข ไม่เคยให้อาหาร ไม่เคยให้ที่พักพิง ทำให้เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นแล้วสืบหาเจ้าของสุนัขจรจัดไม่ได้ ภาระทั้งหมดก็คงตกอยู่กับองค์การบริหารส่วนตำบลที่ต้องเข้ามารับผิดชอบจากการขาดความรับผิดชอบของผู้เลี้ยงสุนัข
ผู้เขียนเห็นว่า ประเทศไทยควรผลักดันมาตรการทางกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร็วและสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งลงโทษผู้เลี้ยงสุนัขที่ขาดความรับผิดชอบอย่างจริงจัง