‘Best year of my life 363 วัน วิ่งตามฝันในนิวซีแลนด์’ หนังสือแห่งแรงบันดาลใจ

‘Best year of my life 363 วัน วิ่งตามฝันในนิวซีแลนด์’ หนังสือแห่งแรงบันดาลใจ

สำนักพิมพ์วิช เปิดตัวหนังสือใหม่ เพื่อสร้างพลังใจแห่งชีวิต “Best year of my life 363 วัน วิ่งตามฝันในนิวซีแลนด์” ส่งต่อแรงบันดาลใจเพื่อเปลี่ยน “ความกลัว” เป็น “ความกล้า” และก้าวไปสู่ชีวิตในแบบที่ต้องการ

เด็กหนุ่มต่างจังหวัดที่มาใช้ชีวิตในเมืองกรุง โดยแบกความหวังของครอบครัวและสังคมไว้เต็มบ่า แต่กลับพบว่าวิถีดังกล่าวไม่ใช่การใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ เขาคว้าโอกาสที่จะวิ่งตามความฝัน กับการตัดสินใจเพียงชั่วข้ามคืน ที่จะเข้าร่วมโครงการ “Working Holiday Visa New Zealandโดยที่ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร

การใช้ชีวิตในนิวซีแลนด์ 363 วัน หรือเกือบ 1 ปี กับเงินติดตัวเพียงแค่ 25,000 บาท จากความกลัวที่ต้องเริ่มต้นใช้ชีวิตในต่างแดน ค่อยๆ เกิดการเรียนรู้และปรับตัวในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ซึ่งเป็นการหล่อหลอมพฤติกรรมและทัศนคติไปในทางที่ดีขึ้น และเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เขียนว่า “ถ้าเราเดินตามล่าฝันเป็นทางตรงแบบคนอื่นๆ ไม่ได้ เนื่องจากข้อจำกัดที่มี เราต้องค้นหาทางอื่น อาจจะต้องเดินอ้อมมากขึ้น ไกลมากขึ้น ใช้เวลามากขึ้น แต่ถ้าเราตั้งใจแน่วแน่และมีการวางแผนที่แน่นอนชัดเจน สุดท้ายแล้ว เราก็จะไปถึงจุดหมายที่ตั้งไว้เช่นกัน”

หนังสือ Best year of my life 363 วัน วิ่งตามฝันในนิวซีแลนด์ เป็นหนังสือที่เหมาะจะเป็นแรงบันดาลใจกับผู้อ่านทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะคนที่มีความฝัน ชอบพัฒนาตนเอง หรือคนที่กำลังตามหาความฝัน ได้เห็นแนวทางในการลุกขึ้นมาทำตามความฝัน พัฒนาและเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นในทุกๆ มิติ

หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานของ Wasu Sooksomsod ชายหนุ่มที่เคยเป็นคนมั่นใจ กล้าแสดงออก แต่บุคลิกเหล่านี้ก็เริ่มหดหายไปเรื่อยๆ เมื่อเริ่มโตขึ้นและเข้าสู่วัยเรียน จนเรียกความมั่นใจในตัวเองกลับมาได้อีกครั้งหลังจากการใช้ชีวิตในนิวซีแลนด์

เขาเติบโตมาในครอบครัวข้าราชการครูที่ไม่ได้มีพร้อมทุกอย่าง แต่อบอุ่น อยู่กับพ่อแม่ พี่ชาย และพี่สาว ในหมู่บ้านเล็กๆ ในอำเภอหนองนาคำ ซึ่งเป็นอำเภอชายขอบของจังหวัดขอนแก่น ติดกับจังหวัดหนองบัวลำภู

หลังจากจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี ได้เริ่มทำงานในตำแหน่ง Business Control Officer กับบริษัท Sony Technology Thailand และตำแหน่งวิเคราะห์สินเชื่อในบริษัทการเงินสัญชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เป็นเวลาเกือบ 2 ปี ก่อนจะตัดสินใจลาออกและเข้าร่วมโครงการ Working Holiday Visa New Zealand เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งเป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้ และเป็นจุดหักเหที่สำคัญของชีวิต ต่อมาได้เข้าร่วมโครงการ Work and Holiday Visa Australia ต่ออีก 1 ปี

เขากล่าวในคำนำหนังสือเล่มนี้ว่า “ผมไม่ได้เติบโตมาในครอบครัวที่มีพร้อมทุกอย่าง ไม่ได้ฉลาดเป็นเด็กหัวกะทิเหมือนเพื่อน หลายๆ คน ถ้าจะทำอะไรให้สำเร็จ ผมต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่นหลายเท่า ทั้งเรื่องการอ่านหนังสือหรือการฝึกฝนทักษะในด้านต่างๆ แต่การที่ผมมาถึงจุดนี้ได้ เป็นเพราะความอึด ความอดทน และความพยายามมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือคือจังหวะของชีวิตและมันสมองที่มี

เมื่อมองย้อนกลับไป ณ วันนั้น วันที่ต้องนั่งเครื่องบินจากโอกแลนด์กลับไทย ผมไม่เคยคิดว่า จะมาไกลเกินกว่าที่วาดฝันไว้ได้ขนาดนี้ ได้เป็นพลเมืองถาวรของออสเตรเลีย มีงานที่ดี มีรายได้มากกว่าค่าเฉลี่ยของคนออสเตรเลียทั้งประเทศ ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ ได้ท่องเที่ยวและทำกิจกรรมที่อยากทำตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย

ผมก้าวมาอยู่ในจุดที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ได้ เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ และการตัดสินใจเพียงชั่วข้ามคืน พร้อมกับความไม่แน่นอนในอนาคต

ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้ผมมั่นใจได้เลยว่า การตัดสินใจในครั้งนั้น จะนำไปสู่ความสำเร็จ หรือทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้น รู้เพียงแต่ว่า...

ผมอยากไปต่างประเทศ

ผมอยากพูดภาษาอังกฤษให้ดีกว่านี้ เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน

ผมอยากท่องเที่ยวต่างประเทศเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ

ผมอยากมีประสบการณ์การใช้ชีวิตในต่างประเทศ

ผมอยากเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองในหลายๆ ด้าน ที่คิดว่ายังขาดและยังต้องพัฒนา

การตัดสินใจครั้งนั้น เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำพาชีวิตมาสู่จุดปัจจุบัน จุดที่ผมเองก็รู้สึกว่า ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่อยากจะทำ พร้อมกับรับผิดชอบชีวิตของเราเองและครอบครัวได้ดีพอสมควร

ผมเคยเข้าร่วม โครงการ Working Holiday Visa New Zealand เมื่อนานมาแล้ว วันหนึ่ง ผมได้มีโอกาสดูภาพที่เคยถ่ายไว้ และอ่านไดอารีที่เขียนบันทึก ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่อยู่ที่นั่น และอยากจะถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำงาน การท่องเที่ยว การเรียนภาษา และข้อคิดในการใช้ชีวิตจากประสบการณ์จริงที่มีครบทุกรสชาติ

การใช้ชีวิตในนิวซีแลนด์เป็นเวลาเกือบ 1 ปีเต็มนั้น เป็นเวลาที่สนุกที่สุดในชีวิต ได้รับประสบการณ์ล้ำค่ามากมาย และเป็นปีที่จุดประกายให้ผมก้าวเดินตามฝันหลายอย่างในช่วงเวลาต่อมา

ประสบการณ์ครั้งนั้น เป็นก้าวแรกของการเดินตามความฝันในวัยที่พึ่งจบมหาวิทยาลัยมาหมาดๆ เป็นก้าวแรกที่ทำให้ชีวิตเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน ทั้งเรื่องความอดทนอดกลั้น ความมั่นใจในตนเอง ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ ทักษะการเข้าสังคม ความแข็งแกร่งทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เปลี่ยนทัศนคติในการทำงาน การตัดสินใจด้วยตัวเอง กล้าคิดนอกกรอบและกล้าทำในสิ่งที่ต้องการ ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคและโชคชะตา

ผมหวังว่า เรื่องราวเหล่านี้อาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ลุกขึ้นและเดินไปตามความฝัน เพื่อทำในสิ่งที่ต้องการ เหมือนที่ผมตัดสินใจทำเมื่อเกือบ 10 กว่าปีที่แล้วก็เป็นได้ ถ้าผมไม่ตัดสินใจลงมือทำตามความฝันในวันนั้น ผมก็คงไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตตามที่ต้องการเหมือนในวันนี้เช่นกัน”