"ทอม มัวร์"เดิน100รอบระดมทุนสู้โควิด หนึ่งในเรื่องเล่าโควิดเปลี่ยนชีวิต
"โควิด"ทำให้ชีวิตไม่เหมือนเดิม นี่คือเรื่องคนอังกฤษทั้ง 4 ที่แปรเปลี่ยนความเศร้า ออกมาช่วยเหลือคนอื่นๆ ยกตัวอย่าง ทอม มัวร์ ที่เดินรอบสวนหลังบ้าน 100 รอบ เพื่อระดมทุนสู้โควิด-19 แม้เขาจะจากไปแล้ว ลูกสาวก็ยังสานฝันต่อ และอีกหลายเรื่องที่น่าประทับใจ
โรคโควิด-19 เป็นมหันตภัยร้ายที่คุกคามมวลมนุษยชาติทั้งโลก แต่สำหรับบางคนแล้วเจ้าไวรัสตัวร้ายเป็นแรงผลักดันให้พวกเขากล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะทำได้
และนี่คือเรื่องราวของคน 4 คนที่ลุกขึ้นมาทำอะไรดีๆ เพื่อสังคมและยอมรับว่าโควิดได้เปลี่ยนชีวิตของพวกเขา
1.“แม้จะรู้สึกแย่ แต่ฉันจะไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ได้ทำมา”
ตอนที่แคลร์ ฮาสตี้ ติดเชื้อโควิด-19 ครั้งแรกเมื่อ 17 มีนาคม 2020 หรือหนึ่งสัปดาห์ก่อนอังกฤษจะล็อกดาวน์ครั้งแรก เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า อีกหนึ่งปีต่อมาอาการป่วยยังอยู่กับเธอ
“การติดเชื้อทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป ฉันต้องใช้วีลแชร์มาปีกว่าแล้ว ฉันไม่สามารถเดินไกลเกิน 100 เมตรด้วยซ้ำ ฉันหวังว่ามันจะเป็นเรื่องแค่ชั่วคราว แต่จนถึงตอนนี้มันเปลี่ยนชีวิตฉันไปมาก เมื่อเดินหรือทำงานไม่ได้ ไม่มีวันไหนเลยที่ไม่มีอาการ” เธอกล่าว
ฮาสตี้เป็นหนึ่งใน 2 ล้านคนในอังกฤษที่มีอาการ Long Covid หรืออาการหลงเหลือหลังติดเชื้อโควิด-19 ในระยะยาว อาการที่ว่ามีตั้งแต่เหนื่อยล้าไปจนถึงการสูญเสียการเคลื่อนไหว
ตอนที่เธอล้มป่วยเป็นเวลานาน 7 สัปดาห์ เธอได้จัดตั้งกลุ่ม Long Covid Support เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือคนป่วยที่มีอาการคล้ายคลึงกัน ปัจจุบันกลุ่มมีสมาชิกมากกว่า 42,000 คนจาก 100 ประเทศ
แม้โคโรน่าไวรัสจะส่งผลกระทบต่อชีวิต รวมถึงการเคลื่อนไหวและการรับรู้ของเธอ งานที่เธอเป็นผู้ริเริ่มขึ้นก็ช่วยให้เธอมีพลังในการดำเนินชีวิตต่อไป
เธอบอกว่า ถ้าเธอนอนป่วยอยู่บนเตียงโดยไม่มีเป้าหมาย มันคงจะเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าบางครั้งเธอจะรู้สึกแย่ แต่เธอจะไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ได้ทำมา เพราะการเรียนรู้และคุณค่าที่ได้รับ
“กลุ่มเติบโตขึ้นเป็นชุมชนที่น่ารัก กลุ่มเป็นสิ่งที่สวยงาม มันเป็นหลักให้คนที่ล้มได้เกาะ หลายคนบอกว่ากลุ่มนี้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวสิ่งเดียวที่ช่วยให้พวกเขาผ่านพ้นความยากลำบากไปได้” ฮาสตี้กล่าว
2.“ผมไม่สามารถเดินหนีจากคนที่เดือดร้อน”
แมทท์ ฟาวเลอร์ รู้สึกอึดอัดเมื่อต้องพูดต่อหน้าคนในที่สาธารณะ หรือเมื่อตกอยู่ในความสนใจของผู้คน แต่เพราะโควิด-19 ทำให้เขาก้าวพ้นจากคอมฟอร์ทโซน
“ผมไม่ใช่คนที่เข้ากับคนง่าย แต่ผมก็ออกจากคอมฟอร์ทโซน เพื่อมาทำในสิ่งที่เราได้ทำไปแล้ว ผมไม่สามารถหลีกหนีจากความจริงที่ว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็น”
ฟาวเลอร์ร่วมก่อตั้งกลุ่มเพื่อความเป็นธรรมสำหรับครอบครัวที่สูญเสียสมาชิกจากโควิด-19 หลังจากที่เอียน พ่อที่เป็นอดีตวิศวกรออกแบบเครื่องยนต์ของ Jaguar Land Rover วัย 56 ปี เสียชีวิต เพราะโควิดเมื่อเมษายน 2020 เป้าหมายของกลุ่มคือรณรงค์ให้หน่วยงานสาธารณสุขของอังกฤษดูแลสุขภาพจิตของผู้สูญเสีย
พวกเขาได้ร่วมกันสร้างสรรค์ภาพวาดที่น่าทึ่งที่สุดภาพหนึ่ง เพื่อเป็นการรำลึกถึงเหยื่อโควิด นั่นคือ ภาพวาดหัวใจมากกว่า 150,000 ดวงบนกำแพงที่อยู่ตรงข้ามรัฐสภาอังกฤษ
โดยหัวใจแต่ละดวงเป็นตัวแทนของผู้เสียชีวิตแต่ละคน แต่สิ่งที่ทำให้เขาโกรธมากที่สุดคือ การที่รัฐบาลใช้เวลานานในการจัดการปัญหาในช่วงวิกฤตระดับชาติแบบนี้
“ในช่วงเริ่มต้นของแคมเปญ เราต้องการสร้างเครือข่ายสนับสนุนคนที่สูญเสียคนใกล้ชิดเพราะโควิด เพราะพวกเขารู้สึกเหมือนต้องอยู่เพียงลำพัง
แต่ข้อมูลจากรัฐบาลในเรื่องการให้คำปรึกษาและการสนับสนุนทางการเงินสำหรับงานศพค่อนข้างน้อย หลายครั้งที่คนมาหาเราเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรหรือจะจัดการกับสิ่งต่างๆ อย่างไร” ฟาวเลอร์กล่าว
ฟาวเลอร์ยังหวังลึกๆ ว่า เขาจะไม่ต้องเปิดเผยตัวตนอย่างนั้นอีกครั้ง แต่อีกส่วนก็คิดว่า คนเราไม่ควรจะอายที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะยากและน่ากลัวเพียงใด
“ผมรู้สึกเหมือนอยู่ไกล จนมองไม่เห็นทางกลับฝั่ง แต่มันเป็นสิ่งที่ผมต้องทำ และถ้ายังมีความจำเป็นที่ผมต้องทำอะไรสักอย่าง ผมก็จะทำต่อไป เพราะผมไม่สามารถเดินหนีผู้คนที่มีความเดือดร้อนได้” ฟาวเลอร์กล่าว
3.“มันน่ากลัวมากที่ต้องคลอดลูกตามลำพัง"
ช่วงเวลาที่ฮอลลี่ เอวิส รู้สึกฉุนเฉียวมากกับนโยบายการปฏิบัติต่อหญิงมีครรภ์ อันเนื่องมาจากการระบาดของโควิดคือช่วงที่อังกฤษเริ่มเปิดประเทศหลังจากการล็อกดาวน์ครั้งแรกหรือปลายมิถุนายน 2020 ในตอนนั้นผู้คนแห่กันไปเข้าคิวชอปปิ้งตามห้างร้าน
“ณ จุดนั้น ฉันเริ่มคิดว่าในขณะที่ฉันได้รับอนุญาตให้ไปชอปปิ้งกับเพื่อนๆ แต่กลับไม่ได้รับอนุญาตให้สามีอยู่ในห้องคลอดตอนที่ฉันกำลังจะคลอดลูก” เอวิสกล่าว
ภายใต้มาตรการที่เข้มงวดในตอนนั้น โรงพยาบาลหลายแห่งอนุญาตให้สามีเข้ามาอยู่กับภรรยาที่กำลังจะคลอดได้ ก็ต่อเมื่อปากมดลูกเปิด 4 เซนติเมตร
เอวิสซึ่งตั้งครรภ์ลูกคนที่ 3 และท้องแก่ใกล้คลอดตอนนั้นเชื่อว่าข้อจำกัดเหล่านั้นเป็นความอยุติธรรมอย่างใหญ่หลวง
เธอจึงออกแคมเปญเรียกร้องให้สามีทุกคนได้รับอนุญาตให้อยู่กับภรรยาตลอดเวลาในห้องคลอด รวมถึงตอนสแกนและการนัดหมายพบแพทย์ทั้งหมด
แคมเปญของเธอได้รับความสนใจเหนือความคาดหมาย มีคนร่วมลงชื่อมากกว่า 200,000 รายชื่อในเวลาไม่กี่วัน และมีการขยายในวงกว้างพร้อมติดแฮชแท็ก #ButNotMaternity
ก่อนโควิด-19 เอวิสไม่ใช่นักรณรงค์ เธอบอกว่า แม้เธอจะมีลูกมาแล้ว 2 คน แต่ความรู้เรื่องการคลอดและสิทธิการคลอดของเธอมีน้อยมาก
“ตอนนี้แคมเปญนี้ได้หว่านเมล็ดพืชในหัวของฉันแล้ว” เธอกล่าว
เธอพอใจกับผลตอบรับและดีใจที่ได้ทำตามเสียงในใจของตัวเองเพราะมันกลายเป็นเสียงของผู้คนอีกมากมาย
“แค่คิดว่าต้องคลอดลูกคนเดียวก็น่ากลัวแล้ว แต่จากแคมเปญนี้ เราได้ยินเรื่องราวของคนที่สูญเสียลูกไป และประสบการณ์เช่นนั้นน่ากลัวยิ่งกว่า” เอวิสกล่าว
4.“เราเป็นครอบครัวธรรมดาที่กลายเป็นจุดสนใจในสิ่งที่ไม่ธรรมดา”
ฮานนาห์ อินแกรม-มัวร์ กลายเป็นจุดสนใจ หลังจากที่พ่อของเธอ ร้อยเอกเซอร์ ทอม มัวร์ เริ่มระดมทุนให้ระบบสาธารณสุขของอังกฤษเพื่อสู้กับโควิด-19 ด้วยการเดินรอบสวนหลังบ้าน 100 รอบ
จนทำให้อดีตนายทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้นี้กลายเป็นฮีโร่ของใครหลายๆ คน และแคมเปญนี้ได้เปลี่ยนชีวิตของอินแกรม-มัวร์และญาติๆ อย่างมากมาย
“ตอนที่เราระดมทุนได้ถึง 12 ล้านปอนด์ ในช่วงแค่สัปดาห์ที่สอง ฉันรู้ว่าสิ่งต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปและไม่สามารถเปลี่ยนกลับไปได้” อินแกรม-มัวร์กล่าว
รอบๆ บ้านของเธอเต็มไปด้วยโดรนและเลนส์ระยะไกลที่พยายามถ่ายรูป มีเฮลิคอปเตอร์บินอยู่เหนือศีรษะ มีรถตู้รับสัญญาณดาวเทียมอยู่ทั่วทุกมุมของบ้าน เธอยังต้องรับสายจากบรรดาผู้นำองค์กรระดับโลก ระดับประเทศและนักการเมือง
เมื่อคุณพ่อเสียชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 ด้วยโควิด ตอนที่เธอเดินทางไปยอร์กเชียร์เพื่อฝังอัฐิของเขา มีแต่คนเข้ามาพูดคุยกับเธอเกี่ยวกับงานการกุศลที่ทำ
และบทสนทนาส่วนใหญ่เกี่ยวกับการเชื่อมโยงของมนุษย์และความจริงที่ว่าโดยพื้นฐานแล้วมนุษย์เป็นคนดีไม่ใช่คนเลว
“พ่อของฉันเชื่อจริงๆ ว่ามนุษยชาตินั้นดีโดยพื้นฐาน เราจึงรู้สึกว่า ต้องรับผิดชอบต่อของขวัญอันน่าทึ่งนี้ ซึ่งเป็นมรดกที่พ่อทิ้งไว้ให้” อินแกรม-มัวร์กล่าว
เธอคิดว่า การระดมทุนทำให้เธอและครอบครัวได้เติบโตขึ้นในบทบาทใหม่
“พวกเราเป็นตัวแทนของครอบครัวธรรมดาๆ เราเป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่กลายเป็นจุดสนใจในมรดกอันน่าทึ่งและแสนพิเศษนี้” เธอกล่าว
ที่มา เว็บไซต์เดอะ การ์เดียน
......................
ผลงานเรื่องนี้ : ตีพิมพ์ในเซคชั่นจุดประกายฉบับพิเศษ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เนื่องจากวาระครบรอบ 35 ปี (ุ6 ตุลาคม 64)
.......