"เอิร์น - แพมแพม - พีค – ฮูพ - เฟม – มีน" 6 ความฝันที่เดินทางมาถึงรุ่น 3 ของ "BNK48"
คุยกับหกสาว ตัวแทนเมมเบอร์ "BNK48 รุ่น 3" ที่ต้องผ่านอะไรต่อมิอะไรมาเยอะมากทั้งที่ยังไม่ได้เป็น "BNK48" เต็มตัวสักที จนถึงวันนี้ที่พวกเธอเดบิวต์แล้ว และมีผลงานแรกแล้ว
ความพยายามไม่เคยทำร้ายใคร แต่ปัจจัยที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน เสมือนคำท้าให้เหล่าเมมเบอร์รุ่นที่สามของ BNK48 ต้องฝ่าด่านหินนี้ให้ได้ เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเธอก็คือผลผลิตของความฝันที่งดงามทว่าแข็งแกร่ง
หากไม่นับจุดเริ่มต้นที่สาวๆ "BNK48" รุ่นแรกฝ่าฟันกันมา คงต้องบอกว่า BNK48 รุ่น 3 เกิดในจังหวะที่โหดร้ายเอามากๆ เพราะตั้งแต่รับสมัครกว่าจะเดบิวต์ก็ผ่านช่วงสุญญากาศนานร่วม 2 ปี ถ้ามองในแง่ดี พวกเธอได้มีเวลาบ่มเพาะทักษะต่างๆ ให้พร้อมกับการเป็นเมมเบอร์มากที่สุด แต่ถ้ามองในแง่จริง สถานการณ์ต่างๆ ทำให้รุ่นสามต้องรับบทหนักเพื่อเรียกศรัทธาจากแฟนๆ
จนวันเดบิวต์มาถึง สถานะของเมมเบอร์ทุกคนเปลี่ยนไป นามสกุล BNK48 ที่ต่อท้ายชื่อของพวกเธอดูเข้มขลังขึ้นทันที จาก 18 เมมเบอร์ BNK48 รุ่น 3 มี 6 สาวตัวแทนมาเล่าเส้นทางสายไอดอลเบอร์หนึ่งของไทย ได้แก่ เอิร์น - วชิราพร พัฒนพานิช, แพมแพม - สาริศา วรสุนทร,พีค - ภูษิตา วัฒนากรแก้ว, ฮูพ - ปาฏลี ประเสิรฐธีระชัย, เฟม - นันทภัค กิตติรัตนวิวัฒน์ และ มีน - ณัฐธันยา ดุลยพล
จุดเริ่มต้นบนถนน BNK48
คงคล้ายกันที่ชีวิตของเด็กสาววัยรุ่นจะต้องเปลี่ยนแปลงไปหลังจากต้องรับบทไอดอล เอิร์น BNK48 เล่าให้จุดประกาย กรุงเทพธุรกิจ ฟังว่า ก่อนหน้านี้ไม่มีคำว่าไอดอลในหัวเลย
“หนูเรียนวิศวะ ซึ่งมันค่อนข้างตรงกันข้ามกับการเป็นไอดอล ก็เลยยังไม่มีความคิดเกี่ยวกับการมาทำอะไรแบบนี้มาก่อน จนกระทั่งเราได้เจอกับน้องสาวที่เป็นญาติ น้องชอบ BNK48 มาก ก็เลยบอกให้หนูมาลองสมัครดู หนูก็ลองดูและเรียนรู้มาเรื่อยๆ ได้มีโอกาสทำงานในวง
หลังจากเข้ามา ชีวิตหนูเปลี่ยนเยอะมาก จากเด็กวิศวะงงๆ ตอนนี้ก็เริ่มงงหนักกว่าเดิม จริงๆ มันสับสนมากเลยค่ะ ทีแรกหนูสละสิทธิ์ไปแล้ว แต่แม่บอกว่าโอกาสนี้ไม่ได้มาตลอดนะ และการร้องการเต้นมันก็เป็นสิ่งที่เราชอบเหมือนกัน ก็เลยตัดสินใจเข้ามา ชีวิตก็เปลี่ยนไปเลย ถ้าหนูไม่เลือกตรงนี้ ชีวิตหนูอาจจะทำงานวิศวะอยู่ก็ได้ แต่นี่เป็นไอดอล หลายอย่างเปลี่ยนไป คนรอบตัวก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน พ่อแม่ก็ต้องรับมือกับการที่ลูกเป็นไอดอลด้วย เพื่อนก็ต้องรับมือกับการมีเพื่อนเป็นไอดอลด้วย รวมถึงตัวเราด้วย แน่นอนว่าอิสระมันน้อยลง แต่อยู่ตรงนี้มีอย่างอื่นเข้ามาทดแทน ซึ่งนั่นก็คือแฟนคลับ เป็นสิ่งสำคัญมากที่ทำให้หนูอยู่ตรงนี้”
ทำนองเดียวกับ แพมแพม BNK48 ที่แม้จะรู้ว่า "BNK48" คืออะไร แต่ก็ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ จนชะตาลิขิตให้เห็นการรับสมัคร "BNK48 รุ่น 3" ขึ้นมาที่หน้าฟีดโซเชียลมีเดีย แล้วเธอก็สมัคร
“หนูเห็นเขารับสมัครตั้งแต่รุ่น 2 และ CGM48 แต่ก็ไม่คิดจะสมัคร จนมาเห็นของรุ่น 3 ทั้งที่เราไม่ได้ตั้งใจเลื่อนหาใบสมัครแต่มันเด้งขึ้นมาในโซเชียล ก็คิดว่าไม่ลองไม่รู้ หนูก็สมัครเลย
แล้วหนูได้ดูรายการ Produce 48 ก็เห็นมีรุ่นพี่ AKB48 ไปแข่ง ก็เลยทำให้รู้จัก 48 Groups มากขึ้น มาลองออดิชั่น BNK48 เพราะอยากมารู้เรื่องราวเกี่ยวกับ 48 มากขึ้น
จริงๆ ชีวิตหนูก็ไม่ได้แตกต่างจากเมื่อก่อนสักเท่าไร แต่ก็มีภาระงานที่มากขึ้นกว่าแต่ก่อน อาจจะเพราะเมื่อก่อนหนูค่อนข้างเก็บตัว ไม่ค่อยได้ออกไปใช้ชีวิตวัยรุ่นเท่าไร ไม่ได้ต่างจากตอนนี้ แต่ก็รับผิดชอบงานได้มากขึ้น ถามว่าเปลี่ยนไหมก็เปลี่ยน แต่ไม่มากสักเท่าไร ก็มีสิ่งที่เปลี่ยนไปมากเช่นจัดการสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาให้ได้ดีขึ้น รับมือกับสิ่งต่างๆ ให้ได้มากขึ้น มันทำให้หนูโตขึ้นเร็วมาก ภายในปีสองปีนี้ที่มาเป็น BNK48 รู้สึกเหมือนโตไปแล้วประมาณ 5 ปี และทำให้เห็นมุมมองใหม่ๆ ด้วยค่ะ มุมมองกว้างขึ้น และมีความรับผิดชอบมากขึ้นด้วย”
สำหรับ พีค BNK48 อาจแตกต่างจากคนอื่นเล็กน้อยตรงที่เคยทำงานหน้ากล้องมาอยู่แล้ว เพราะพีคเป็นอดีตอินฟลูเอนเซอร์ เหตุผลของการมาเป็นไอดอลคือต้องการเข้ามาเป็น BNK48 พร้อมกับเพื่อน แต่โอกาสมาที่เธอคนเดียว
“ตอนแรกคุยกับเพื่อนที่โรงเรียนว่าจะมาออดิชั่นด้วยกัน แต่กลายเป็นว่ามาคนเดียว ส่วนตัวหนูชอบเต้นอยู่แล้ว พอมาออดิชั่นแล้วติด พอได้ลองทำก็ชอบ สนุกดีค่ะ
หลังจากเข้ามา ชีวิตหนูเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะมากค่ะ เพราะส่วนตัวหนูไม่ได้เป็นเด็กเรียน แต่เรียนวิทย์-คณิต ต้องอ่านหนังสือบ่อย ทำข้อสอบบ่อย พอมาเป็นไอดอลก็ต้องห่างจากตรงนู้น เปลี่ยนที่เรียน เปลี่ยนนู่นเปลี่ยนนี่หมดเลย จากเด็กคนหนึ่งที่ไปโรงเรียน เล่นกับเพื่อน ถ่ายรูปลงอินสตาแกรม เปลี่ยนเป็นต้องซ้อมทุกวัน ต้องทบทวนตัวเองทุกวันว่าเราควรจัดการเวลา จัดการตัวเองอย่างไรให้ดีขึ้น มีเรื่องต้องระวังตัวเองมากขึ้น และรู้สึกว่าอิสระหายไปเยอะมาก เพราะส่วนตัวเป็นคนที่ค่อนข้าง free กับตัวเองมากๆ ติสท์นิดหนึ่งค่ะ ฉันอยากทำอย่างนี้ฉันก็ทำ แต่พอมาอยู่ตรงนี้ก็ต้องบริหารตัวเองให้ดีขึ้น
ตอนที่หนูเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ได้ทำงานรับงานมาถ่ายรูป มีอิสระ แต่พอมาตรงนี้ต้องทำตามกฎมากๆ แต่รู้สึกว่ากฎไม่ได้ยากสำหรับหนู เพราะหนูเป็นคนปรับตัวง่ายประมาณหนึ่งค่ะ”
ส่วน ฮูพ BNK48 แทบจะเปลี่ยนตัวเองไปเลยโดยเฉพาะรูปลักษณ์ เพราะด้วยความที่มีไลฟ์สไตล์ซนๆ ชอบสายลมแสงแดด รักการผจญภัย ทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจที่มาเป็น BNK48
“หนูชอบออกไปวิ่งเล่นกลางแจ้ง แดดเผาไหม้ตัวเราแล้วรู้สึกว่าเราใช้ชีวิตวัยรุ่นคุ้ม ถ้าเราตัวไม่ดำแสดงว่าเรายังใช้ชีวิตวัยรุ่นไม่คุ้ม หนูก็เลยเล่นมาตลอด และแม่หนูก็เป็นผู้หญิงแกร่งที่ชอบหาทำให้กับลูก แบบว่าลูกเราต้องอยู่ไม่เฉย แม่ก็เลยให้หนูไปเรียนเปียโน ซึ่งนั่นก็คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หนูได้รู้จักครูแก้ว (แก้ว BNK48)
ตอนนั้นหนูไปเรียนแบบไม่ได้คิดอะไรมาก แม่ให้เรียนก็เรียน แต่พอเรียนไปเรื่อยๆ ก็ชอบ อยากเก่งขึ้นทุกวัน ที่โรงเรียนเปียโนพี่แก้วเป็นตัวเต็งเลย หนูเห็นแล้วยกให้เป็นไอดอล อยากเก่งแบบพี่เขา ทำให้เราตั้งใจเรียนเปียโนมากขึ้น ผ่านไป 7 ปีที่เรียนเปียโนจนหนูย้ายโรงเรียนถึงได้เลิกเรียน
พอช่วงเข้ามหาวิทยาลัยเป็นข่วงที่หนูอยู่บ้าน ไม่ค่อยทำอะไร แม่ก็รู้สึกว่าลูกฉันน่าเบื่อจัง แม่ก็เลยให้ไปเรียนร้องเรียนเต้น ซึ่งโรงเรียนนั้นชอบให้นักเรียนไปออดิชั่นที่นั่นที่นี่ ด้วยความที่หนูชอบอยู่กับเพื่อน เห็นเขาไปก็ไปด้วย จนได้มาออดิชั่น BNK48 รู้สึกว่าได้มาเล่นกับเพื่อน สนุกมาก ตอนนั้นหนูอายุ 18 คนรุ่นหนูส่วนมากจะนิ่งๆ แต่พอมาเจอน้องๆ อายุ 12-13 วิ่งไล่จับกัน หนูก็ เฮ้ย มันทางเราเลย แถมพ่อหนูยังชอบพี่เฌอปรางมาก ชอบความคิด ถ้าหนูติด พ่อก็ต้องภูมิใจในตัวหนูแน่ๆ
อย่างที่บอกว่าหนูชอบแดดมาก เมื่อก่อนหนูรักเพื่อนรักฝูง รักการออกไปสนุกข้างนอก ตอนนี้เรารักที่จะดูแลตัวเองมากขึ้น รวมไปถึงหนูรู้สึกว่าตั้งแต่เข้ามาอยู่ BNK48 ชีวิตหนูเปลี่ยนไปเยอะมากค่ะ เพราเป็นช่วงเข้ามามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง เจอเพื่อนใหม่ตอนที่เป็น BNK48 พอดี ก็มีอุปสรรคหลายเรื่องค่ะ ส่วนเรื่องเรียน เพราะหนูเรียนออกแบบนิเทศศิลป์ งานก็จะเยอะมากๆ ทำให้เราต้องแบ่งเวลาดีมากๆ
หนูเป็นตัวของตัวเองมากๆ เวลาอยู่กับแฟนคลับ เราเป็นเราไปเลย ก็เลยทำให้แฟนคลับรู้ว่าเวลาไหนที่เราเหนื่อย เขาก็จะให้กำลังใจ ซึ่งหนูรู้สึกสึกว่าเวลาเราได้พลังงานนี้มามันทำให้เราฮึดสู้ ทำให้เราไปต่อได้ แล้วถ้าหนูท้อเมื่อไร หนูก็แค่ร้องไห้ แล้วบอกกับตัวเองเสมอว่า ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ หนูเลยใช้ชีวิตแบบไม่ได้ซีเรียสหรือกดดันขนาดนั้น แม้ตอนไหนที่กดดันก็บอกตัวเองว่าเราทำได้ ทุกคนผิดพลาดได้ แต่เราก้าวข้ามมันไปได้”
อีกคนที่เส้นทางสู่ BNK48 มาจากแรงบันดาลใจ ที่อาจจะไม่ใช่ในวงการไอดอลแต่คือพลังขับให้ เฟม BNK48 กล้าที่จะมาเป็นสมาชิกครอบครัว BNK48นั่นคือได้ดูรายการประกวดร้องเพลงอย่าง The Star 6 และเป็นแฟนคลับแก๊งอสรพิษ ภาพผู้เข้าประกวดร้องเพลง มีแฟนคลับ มีแสงสี เฟมในตอนนั้นที่อยู่ ป.1 ตั้งปณิธานว่าจะต้องอยู่บนเวทีแบบนั้นให้ได้
“แต่หนูเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัว ไม่เคยโชว์สกิลร้อง เต้น หรือการแสดงให้พ่อแม่เห็นเลย จนมาปี 2016-2017 มันบูมขึ้นมา หนูก็เริ่มชอบ คิดว่าเราก็เป็นอย่างเขาได้ ก็เลยไปเรียนร้องกับเต้นและฝึกการเป็นไอดอลโดยเฉพาะเลย เมื่อก่อนหนูร้องเพลงไม่เป็นเลย ร้องเหมือนพูดน่ะค่ะ พอได้ถึงจุดหนึ่งก็เลยทำใจมาออดิชั่น ประจวบกับตอนนั้นเป็นนักแสดงโขนด้วยค่ะ ก็คิดว่าเราน่าจะทำได้ จิตใจคืออยากเป็นไอดอลเลย
มีคนทักเยอะค่ะว่าหน้าเหมือนพี่ปัญ BNK48 ก็เลยรู้สึกว่างั้นก็มีฝาแฝดในนี้ไปเลยก็แล้วกัน ก็น่ารักดี
ถามว่าชีวิตหนูเปลี่ยนไปไหม ก็เปลี่ยนค่ะ แต่ปกติหนูใช้ชีวิตแบบไม่มีแพสชั่นเลยค่ะ เป็นเด็กคนหนึ่งที่ทำตามที่พ่อแม่บอก หนูจำได้ว่าพ่อแม่หนูอยากให้เป็นวิศวกร แต่หนูรู้สึกว่าหัวหนูไม่เข้ากับวิศวะเลย แล้วด้วยความที่ครอบครัวหนูเป็นนักธุรกิจ เขาอยากให้เราเรียนตรงนี้เพื่อมาเสริม แต่เราก็ไม่เอา ด้วยความที่หนูไม่ใช่ทางเรียน ทางนี้เลยเป็นการพิสูจน์ตัวเองไปในตัว ต้องยอมรับเลยว่าช่วงแรกที่หนูเข้ามา BNK48 หนูทำตัวเรื่อยๆ เอื่อยๆ แต่พอช่วงหลังมาคิดได้ว่า ทำแบบนี้ไปทำไม ไหนๆ ก็ได้เข้ามาแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าทำไมเป็นคนแบบนี้ ก็เลยกลับมาซ้อม พอดีกับช่วงนั้นรุ่นสามได้ไลฟ์พอดี หนูก็เลยบอกแฟนคลับไปว่า หนูจะขึ้นทีม BIII ของรุ่นพี่ให้ได้นะ รอวันนั้นเลยนะ แล้วก็ถึงวันที่หนูทำได้ มันเป็นแพสชั่นให้หนูรู้สึกว่าหนูมีชีวิตค่ะ แต่หนูก็รู้สึกดีมากเลยนะคะที่บางทีหนูท้อแต่ไม่ได้โพสต์ลงโซเชียล แต่ก็มีคนส่งมาทุกวันว่าเหนื่อยไหม รู้นะว่าซ้อมอยู่ เราก็นั่งอ่านแล้วนั่งร้องไห้ไปด้วย เพราะเป็นคนที่เครียดโดยไม่รู้ตัว มันทำให้หนูท้อมาเรื่อยๆ แต่พอถึงวันที่ทำได้ ก็ดีขึ้น รู้สึกหัวใจฟูค่ะ
สิ่งที่ทำให้หนูมีแพสชั่นคือพ่อแม่และแฟนคลับ มีคำพูดหนึ่งที่พ่อบอกว่า รักหนูนะ ทำให้เต็มที่ และแม่บอกว่าได้ทำงานตรงนี้แล้วทำให้เต็มที่ ก็เลยถามตัวเองว่าที่ผ่านมาเราเต็มที่หรือยัง พวกเราเจอเรื่องโควิด-19 มาตลอด ก็เอื่อยๆ มาสามเดือน หลังจากนั้นถึงคิดได้ว่าทำอะไรอยู่เนี่ยเฟม ก็เลยกลับมาพัฒนาตัวเอง ตอนนี้ก็เป็นคนที่มีแพสชั่นแล้วค่ะ”
หากฮูพคือความซน มีน BNK48 ก็คือความนิ่ง ถึงคาแรกเตอร์จะไปในทางนิ่งๆ เงียบๆ เก็บตัว แต่ชื่นชอบการร้องเพลงและการเต้น ถึงขนาดไปเรียนร้องเรียนเต้น พร้อมๆ กับช่วงนั้น BNK48 รุ่น 1 กำลังโด่งดังจากเพลงคุกกี้เสี่ยงทาย ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้มีนอยากเป็น BNK48
“ตอนนั้นหนูเห็นพี่มิวสิค BNK48 ในเพลงคุกกี้เสี่ยงทายก็ชอบมากๆ เลย แต่พอถึงช่วงรุ่น 2 กับ CGM48 หนูห่างหายไปจาก BNK48 แต่พอถึงช่วงรับสมัครรุ่น 3 เหมือนพี่แพมแพมเลยค่ะ มีรับสมัครผ่านขึ้นมาที่ฟีด เห็นแล้วก็คิดว่าลองดูไม่เสียหาย แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดจริงจังหรืออยากเข้ามาก ก็ออดิชั่นเล่นๆ แต่พอได้ออดิชั่นกลับชอบมาก สนุกมาก เหมือนเป็นการฝึกให้หนูพูดมากขึ้นด้วยเพราะหนูเป็นคนพูดไม่เก่ง
สำหรับหนูชีวิตเปลี่ยนไปมากค่ะ เมื่อก่อนหนูจะไม่ค่อยพูด คืออะไรไม่จำเป็นก็จะไม่พูดอะไรเลย โซเชียลก็ไม่ค่อยได้แตะ คือชอบเล่นนะคะแต่ไม่ค่อยตอบ ดูอย่างเดียว อ่านอย่างเดียว แต่พอเข้ามาหนูต้องปรับตัวให้พูดมากขึ้น และมีเรื่องการดูแลตัวเอง เมื่อก่อนหนูเป็นเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่แต่งหน้าไม่เป็น ไม่สนใจเลย แต่พอเข้ามาก็ต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น
เมื่อก่อนหนูจะกังวล กดดันเวลาอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ หนูไม่ชอบมากๆ แต่พอต้องขึ้นสเตจ ออกรายการ ต้องพยายามตั้งสติ ลดความประหม่า โฟกัสกับแฟนคลับด้วย การแสดงออกทางสีหน้าท่าทาง เพราะหนูไม่ค่อยรู้ว่าต้องทำหน้าทำตาอย่างไรเวลาเจอเรื่องตรงหน้า ก็ได้ฝึกฝนตัวเองด้วยค่ะ”
ใต้ชายคา BNK48 มาตรฐานหรือแรงกดดัน
สิ่งที่รุ่นพี่สร้างไว้อย่างงดงาม มุมหนึ่งคือการถางทางให้น้องๆ BNK48 รุ่น 3 ได้เดินตามอย่างสะดวก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาตรฐานที่เกิดขึ้นก็คือแรงกดดันให้คนรุ่นต่อไปต้องเทียบชั้นหรือทำให้ดีกว่า แน่นอนว่ากับเมมเบอร์รุ่นนี้ที่อะไรๆ ก็ไม่เป็นใจ คำว่าฟันฝ่าอาจน้อยไป
เอิร์น BNK48 ยอมรับว่าเป็นเรื่องดีที่รุ่นพี่สร้างกันมาดีแล้ว รุ่นน้องจึงไม่จำเป็นต้องเร่งเครื่องตอนต้นมากนัก ทว่าหน้าที่ของรุ่นน้องคือต้องรักษามาตรฐานไปเรื่อยๆ ตลอดสองปีที่ผ่านมาในฐานะ BNK48 รุ่น 3 ทุกคนฝึกฝนหนักมากๆ วันหยุดแทบไม่มี
“พวกเราทำกันเต็มที่มาก ถึงจะมีช่วงท้อก็จะมีแพสชั่นใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆ
การเข้ามาเป็น BNK48 ตอนแรกหนูก็ไม่ได้ตั้งเป้าหมายอะไร แต่พอได้เข้ามาอยู่ในวงก็มีหลายบริบทแตกต่างกันไป หนูก็อยากให้แฟนคลับได้เห็นเราอยู่ตรงกลางบ้าง แพสชั่นของหนูตอนนี้คืออยากเป็นเซ็นเตอร์บ้างค่ะ”
ด้าน แพมแพม BNK48 มองว่ามาตรฐานของรุ่นพี่เปรียบเสมือนกำแพงที่ทั้งต้องข้ามผ่านและปกป้องพวกเธออยู่
“การที่รุ่นพี่สร้างฐานที่มั่นคงมาก สำหรับพวกเราที่เป็นรุ่นน้องรู้สึกว่าเรามีกำแพงที่คอยปกป้องเราอยู่ แต่ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าในวันข้างหน้าเราจะเป็นกำแพงให้รุ่นน้องได้แข็งแรงเท่ารุ่นพี่ไหม ซึ่งก็หวังว่ามันจะเป็นไปได้ด้วยดีค่ะ
สำหรับหนูการเป็นเซ็นเตอร์ เป็นเรื่องที่เมมเบอร์น่าจะอยากเป็นที่สุดในการอยู่ BNK48 ค่ะ แต่หนูชอบการเป็น Supporter มากกว่าค่ะ หนูไม่ได้ต้องการอยู่ตรงกลางข้างหน้า แต่หนูอยากอยู่รอบๆ ก็ได้ อย่างน้อยแฟนคลับได้เห็นหนูบ้าง แต่หนูชอบซัพพอร์ตมากกว่า แต่ถ้าเกิดได้เป็นเซ็นเตอร์ก็จะทำให้ดีที่สุดค่ะ อีกอย่างคือหนูอยากเล่นซีรีส์ เล่นหนัง เล่น MV”
มาที่ พีค BNK48 ก็มีเป้าหมายคล้ายกับเอิร์นคือการเป็นเซ็นเตอร์ แต่พอถึงจุดหนึ่งจึงได้รู้ว่าโอกาสที่มีเข้ามา ไม่ว่าจะแบบใดก็น่าภูมิใจทั้งนั้น
“หนูก็อยากเป็นเซ็นเตอร์ แต่พอได้ลองติดเซ็มบัตสึแค่นี้ก็รู้สึกดีใจแล้ว หนูเป็นคนที่เวลาอยากทำอะไรก็ลองเลย รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง อะไรประมาณนั้น เราเคยรู้ความรู้สึกและรสชาติของการติดเซ็มบัตสึแล้ว เลยอยากลองเป็นเซ็นเตอร์เพื่อได้รู้ความรู้สึกนั้นบ้าง
และหนูก็อยากทำในฐานะ BNK48 ให้ดีขึ้น ทุกอย่างดีขึ้น อยากลองทำหลายอย่าง เช่น เล่นซีรีส์ เหมือนอย่างที่ทุกคนอยากทำ”
มาถึงเป้าหมายของ ฮูพ BNK48 บ้าง เธอเป็นหนึ่งในเซ็นเตอร์ของ First Rabbit ซิงเกิลเดบิวต์ของ BNK48 รุ่น 3 เพราะฉะนั้นรสชาติของการเป็นแถวหน้าตรง O Position จึงได้ลิ้มลองก่อนใคร เป้าหมายต่อไปจึงใหญ่กว่า
“ตอนแรกเป้าหมายหนูคือเซ็นเตอร์ และหนูก็ทำได้แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ไม่อยากเป็นอีก แค่เราทำสำเร็จไปแล้วหนึ่งอย่าง ตอนนี้เป้าหมายของหนูคืออยากพาBNK48 ไปขึ้นคอนเสิร์ตที่ต่างประเทศค่ะ อยากให้มี World Tour นี่คือเรื่องจริงค่ะ อยากให้มีมากๆ และอีกหนึ่งอย่างของหนูคือได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ไม่ว่าจะเล่นซีรีส์ เบาๆ สัก 10 เรื่อง (ฮา)”
ส่วน เฟม BNK48 ยังคงมีเป้าหมายเรื่องการพัฒนาตัวเองให้ทั้งตัวเองภาคภูมิใจและคนรอบตัวภาคภูมิใจ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการเป็นเมมเบอร์ไปพร้อมกัน
“หนูอยากเป็นที่ยอมรับ แบบที่ทุกคนบอกว่า นี่ได้ นี่เก่ง อันนี้ได้ เพราะหนูเป็นคนที่ไม่เคยโดนยอมรับ มีแต่คนบอกก็เก่งนะ มีคำว่าก็อยู่ข้างหน้า ไม่เคยเป็นที่ยอมรับจริงๆ ก็เลยอยากจะเป็นที่ยอมรับบ้าง อยากแสดงให้ออกมาชนะใจทุกคนและชนะใจตัวเองด้วย
หนูมีมาตรฐานของตัวเอง แต่ไม่เคยทำได้เลยตอนนี้ แต่ก็จะพัฒนาต่อไปไม่หยุด ถ้าในอนาคตหนูพอใจในตัวเองแล้ว ก็อยากจะเป็นเซ็นเตอร์สักครั้ง เพลงเดียวก็โอเค หรือหลายเพลงก็โอเค หนูอยากเป็นคนที่พูดเก่งขึ้น เป็นผู้รณรงค์เรื่องการอนุรักษ์โขน หนูรู้สึกว่าศิลปะนี้ควรอนุรักษ์ไว้ หนูไม่อยากให้เรื่องโขนมันสูญไป โขนเป็นศิลปะที่หนูคิดว่าสวยงาม อยากให้คนรู้จักมากขึ้นว่ามีอะไรมากกว่านั้น หนูอยากแสดงโขนบนเวที BNK48 สักครั้ง”
ด้านเด็กหญิงพูดน้อยอย่าง มีน BNK48 นอกจากกำแพงมาตรฐานของรุ่นพี่แล้ว กำแพงของตัวเองก็ยังเป็นสิ่งท้าทายอยู่เสมอ การพัฒนาทักษะคือหนทางก้าวข้าม Comfort Zone ไปให้ได้
“หนูมีเป้าหมายที่อยากพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นมากกว่านี้ค่ะ และเรื่องการใช้สีหน้า ฟิลลิ่ง การใช้สายตา หนูชอบพี่ฮูพมากตอนที่ใช้สายตา และหนูอยากเป็นเซ็นเตอร์สักครั้งหนึ่งเหมือนกัน ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า แต่ก็อยากทำได้สักครั้ง รวมถึงอยากเล่น MV คือหนูฝึกในห้องน้ำทุกวันเลย (หัวเราะ) เปิดเพลงแล้วเต้นอะไรแบบนี้”
First Rabbit ก้าวแรกของกระต่ายที่จะไปเป็นตัวแรกของฝูง
หลังจากซุ่มซ้อม บ่มเพาะ ทั้งจากสถานการณ์ซึ่งบีบบังคับให้สาวๆ ได้มีเวลาพัฒนาตัวเองนานกว่าปกติ และจากความตั้งใจที่จะเคี่ยวกรำให้การเดบิวต์ของ BNK48 รุ่น 3 ยิ่งใหญ่ สมบูรณ์แบบสมการรอคอย จนกลายเป็น First Rabbit ซิงเกิลเปิดตัวของ BNK48 รุ่น 3
ฮูพ BNK48 เปิดเผยความรู้สึกในฐานะที่เป็นเซ็นเตอร์ซิงเกิลนี้ว่าเป็นวันที่ความซุกซนถูกแทนที่ด้วยความเครียด
“วันนั้นหนูรู้สึกเครียดมาก เครียดแบบไม่ได้กดดันตัวเองนะคะ แค่เครียดกลัวว่าเราจะทำได้ดีไม่พอ กลัวว่าสิ่งที่แฟนคลับรอคอยมา เราทำได้ดีไม่มากพอที่เขาจะโอเคค่ะ หนูต้องบอกตัวเองตลอดว่าเราสนุก แต่พอโชว์เสร็จหนูกลับมาที่หอ วันนั้นพ่อแม่มาดูด้วย หนูไม่กล้ามองหน้าพ่อกับแม่ เพราะหนูกลัวตัวเองร้องไห้ พอกลับมาพ่อแม่ก็มาหาที่หอ พ่อมากอดแล้วพูดว่าภูมิใจในตัวลูกมากนะ จังหวะนั้นหนูร้องไห้น้ำตาแตกเลย”
ระยะร่วมสองปีที่กว่าพวกเธอจะได้เดบิวต์ ทำให้ เอิร์น BNK48 พูดได้เต็มปากว่า “โล่ง”
“เป็นความโล่ง ดีใจ ตื่นเต้น ประหม่า รวมๆ แล้วเป็นความรู้สึกปั่นป่วนเหมือนผีเสื้อบินอยู่ในท้อง แต่ก็ดีค่ะ เป็นวันที่รอคอยมาถึงแล้ว”
สำหรับ แพมแพม BNK48 การเดบิวต์ในวันนั้นคือความยิ่งใหญ่ที่ยังรู้สึกในวันนี้
“มันคือความยิ่งใหญ่ หนูไม่เคยคิดว่าจะได้ไปเต้นอยู่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ มองไปข้างหน้าก็มีแฟนคลับ ข้างบนก็เป็นท้องฟ้า เป็นภาพที่ชอบมาก ตื่นเต้นและรู้สึกว่าในที่สุดพวกเรารุ่นสามก็ได้เดบิวต์กันสักทีนะ ก็รอกันมานานมาก
ต้องขอบคุณทุกคนมากๆ ที่มารอดูเรา ทั้งทางไลฟ์เอย ทั้งที่มาหน้างานเอย ก็ขอบคุณมากๆ ที่อดทนรอพวกเรามาขนาดนี้”
ด้าน พีค BNK48 ในวันเดบิวต์แม้จะมีหลายอารมณ์และหลายเหตุการณ์ทั้งดีร้าย แต่เธอก็ยังรู้สึกว่ามันคือประสบการณ์ที่ดีมาก
“ในช่วงการแสดงเพลงอื่นก่อนเพลงเดบิวต์ หนูเฟลกับตัวเอง จะเต้นเพลงเดบิวต์แล้วแต่เรายังลืมความผิดพลาดเพลงเก่าไม่ได้ แล้วพอเพลงขึ้นน้ำตาจะไหล วันนั้นแอบซึมๆ แต่ไม่ได้ ฉันต้องทำให้เต็มที่ เพราะคนที่ดูอยู่ตรงหน้าไม่ได้มีแค่ครอบครัวหรือคุณครู แต่มีแฟนคลับทุกคนที่กำลังจ้องมองพวกเราทั้ง 18 คนอยู่ หนูรู้สึกดีใจมาก โล่งมากๆ ตอนที่ได้ประกาศเพลงแล้ว ได้เต้นได้ Perform ให้ทุกคนได้ดูแล้ว”
ส่วน เฟม BNK48 ไม่ได้มีแค่ความประหม่า แต่มีแรงกดดันจากหลายทางเข้ามา แม้จะกระทบใจทว่ากลายเป็นแรงฮึดให้วันนั้นเธอใส่เต็มไม่แพ้คนอื่นๆ
“หนูค่อนข้างที่จะกดดันมากๆ ค่ะ เป็นวันที่พิสูจน์ตัวเองด้วยว่าวันนั้นเป็นวันของเราจริงๆ ไหม แต่หนูก็ได้รับกำลังใจจากทุกคน ส่วนความรู้สึกวันนั้นคือตื่นเต้นค่ะ กลัวจำบล็อกกิ้งผิด เพราะจำได้ว่ามีคนพูดว่ารุ่นสามเป็นรุ่นที่มั่นมากๆ เพราะเราฝึกมาเยอะ เราขึ้นเวทีเยอะ พอเราขึ้นเวทีเยอะเราจะมีความมั่นใจว่าเราเก่ง ก็เป็นแรงกดดันด้วย แต่ถือว่ามีความสุขมากๆ ที่ได้เดบิวต์แล้ว มันสองปีเลย พอได้ปลดล็อกมันเหมือนได้ยินเสียงหัวใจดัง “ปุด” ทั้งมีความสุข ทั้งกดดัน มาหมดเลย แต่ผ่านมาแล้วก็ดี...ปุด”
ปิดท้ายด้วย มีน BNK48 ที่แน่นอนว่าไม่แตกต่างจากคนอื่น คือทุกอารมณ์ความรู้สึกประเดประดังเข้ามา แต่ทุกกำลังใจช่วยให้เด็กขี้อายผ่านวันนั้นมาได้แบบสวยๆ
“หนูรู้สึกตีกันไปหมดเลย ทั้งตื่นเต้น ดีใจ กดดัน และประหม่ามากๆ หนูเป็นคนที่พอกดดันตัวเองแล้วจะพูดกับตัวเองเสมอว่า ปล่อยจอยๆ คือปล่อยไปตามอารมณ์ สนุกๆ ไว้ก่อน วันนั้นหนูเลยรู้สึกว่าทำออกมาได้ดีมากเลยค่ะ ก็เลยโล่งมาก”