บรมราชาภิเษก คิงชาลส์ ที่ 3 ทรงมงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ด และ มงกุฎอิมพีเรียลสเตต
เปิดประวัติ - ความต่าง 2 มงกุฎประวัติศาสตร์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 องค์ประกอบและอัญมณีสำคัญบน มงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ด กับ มงกุฎอิมพีเรียลสเตต มีครบทั้งเพชรคัลลินัน ทับทิมเจ้าชายดำ ไพลินราชวงศ์สจวต
มงกุฎ เป็น 1 ใน เครื่องราชกกุธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งมีบทบาทสำคัญในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรมานานหลายร้อยปี และเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์แห่งราชวงศ์อังกฤษ ปัจจุบันเก็บรักษาและจัดแสดงให้สาธารณชนเข้าชม ณ หอคอยแห่งลอนดอน ประเทศอังกฤษ ดึงดูดผู้เข้าชมมากกว่าล้านคนต่อปี
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 กำหนดมีขึ้น ณ มหาวิหารเวสต์มินเตอร์ กรุงลอนดอน ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2023 ระหว่างเวลา 11.00-13.00 น. ตรงกับเวลา 17.00 - 19.00 น.ในประเทศไทย
ตามประกาศสำนักพระราชวังบักกิงแฮม มีมงกุฎสำคัญ 2 องค์ที่ ‘กษัตริย์ชาลส์ที่ 3’ ทรงในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ได้แก่ มงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ด (St. Edward’s Crown) และ มงกุฎอิมพีเรียลสเตต (The Imperial State Crown)
มงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ด
สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 และ มงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ด
มงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ด (St. Edward’s Crown) องค์ปัจจุบันทำขึ้นในศตวรรษที่ 17 สำหรับ ‘กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 2’ ในปี 1661 เพื่อทดแทนมงกุฎในยุคกลางซึ่งถูกหลอมไปในปี 1649 ระหว่างเกิดสงครามกลางเมืองในอังกฤษ ปี 1642-1652
สันนิษฐานกันว่า มงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ดองค์เดิม มีอายุย้อนไปถึงนักบุญแห่งราชวงศ์ในศตวรรษที่ 11 คือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดธรรมสักขี หรือนักบุญเอ็ดเวิร์ดธรรมสักขี (Edward the Confessor) กษัตริย์แองโกลแซกซอนองค์สุดท้ายของในราชวงศ์เวสเซกซ์แห่งราชอาณาจักรอังกฤษ
ในศตวรรษที่ 17 สำนักพระราชวังได้มอบหมายให้ เซอร์ โรเบิร์ต ไวเนอร์ (Sir Robert Vyner) ช่างทองและนายธนาคารผู้มั่งคั่งในยุคนั้น เป็นผู้ประดิษฐ์ มงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ด สำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของ ‘กษัตริย์ชาร์ลส์ ที่ 2’ ในปี 1661
ลักษณะไม้กางเขนแพตตี และสัญลักษณ์ดอกลิลลี บนมงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ด
แม้ไม่ได้จำลองแบบมาจากมงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ดยุคกลางทุกรายละเอียด แต่ก็ยึดตามต้นแบบที่ประดับด้วย ไม้กางเขนแพตตี (crosses-pattée) จำนวน 4 กางเขน สลับกับ สัญลักษณ์ช่อดอกลิลลี (fleurs-de-lis) จำนวน 4 ช่อ เช่นกัน
กางเขนแพตตี เป็นสัญลักษณ์รูปแบบหนึ่งของกางเขนคริสเตียน ซึ่งมีลักษณะของแขนแคบเข้าตรงช่วงกลางของกางเขน โดยจะเริ่มจากเป็นเส้นตรงหรือเส้นโค้ง และจะค่อย ๆ กว้างออกที่บริเวณช่วงปลายทั้งสี่ด้าน พบหลักฐานการใช้สัญลักษณ์กางเขนแพตตีในงานศิลปะยุคกลางตอนต้น
ขณะที่สัญลักษณ์ช่อดอกลิลลี ปรากฏอยู่ในตราสัญลักษณ์เป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว
ซุ้มโค้ง พระมาลากำมะหยี่หุ้มขอบด้วยแถบขนเออร์มิน และยอดของมงกุฎ
มงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ดมีลักษณะเป็นซุ้มโค้งแบบศิลปะบาโรก 2 องค์ที่ต่อขึ้นจากกางเขนแพตตีองค์ด้านหน้าและด้านข้างไปจรดกางเขนซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน
เหนือกึ่งกลางซุ้มโค้งที่ตัดกันประดับลูกโลกซึ่งรองรับกางเขนแพตตีซึ่งอยู่บนยอดสูงสุดของมงกุฎ
องค์มงกุฎทั้งหมดทำด้วยทองคำแท้ หนัก 2.23 กิโลกรัม จานฐานมงกุฎถึงยอดกางเขนแพตตีองค์บนสุด สูง 30 เซนติเมตร บนกรอบทองคำทั้งหมดประดับด้วยทับทิม อะความารีน อเมทิสต์ แซฟไฟร์ โกเมน โทแพซ และทัวร์มาลีน รวมกันจำนวน 444 เม็ด
อีกหนึ่งองค์ประกอบของมงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ด คือมี 'พระมาลากำมะหยี่' อยู่ภายในซุ้มโค้งมงกุฎ ขอบพระมาลาหุ้มด้วยแถบขนเออร์มิน (พังพอนหางสั้นซึ่งมีขนสีขาว)
มงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ด (St.Edward’s Crown)
หลังจากปี ค.ศ.1689 ไม่มีกษัตริย์อังกฤษพระองค์ใดทรงนำมงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ดมาประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นเวลานานกว่า 200 ปี
กระทั่งในปี 1911 ประเพณีนี้ได้รับการฟื้นฟูโดย ‘พระเจ้าจอร์จที่ 5’ และยังคงดำเนินต่อตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รวมทั้งในปี 1953 (พ.ศ. 2496) สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงมงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ดบนพระเศียรในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเช่นเดียวกัน และทรงเลือกใช้ภาพโครงร่างมงกุฎนี้บนตราแผ่นดินและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อื่น ๆ ในเครือจักรภพเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนพระราชอำนาจของพระนาง
เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2565 สำนักพระราชวังบักกิงแฮมนำมงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ดออกจากหอคอยแห่งลอนดอน เพื่อปรับขนาดก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของ พระเจ้าชาลส์ที่ 3
สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 จะทรงมงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ดเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ณ มหาวิหารเวสต์มินเตอร์ วันที่ 6 พฤษภาคม 2566
มงกุฎอิมพีเรียลสเตต
สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 และ มงกุฎอิมพีเรียลสเตต
มงกุฎอิมพีเรียลสเตต (The Imperial State Crown) หรือ ‘มงกุฎแห่งรัฐจักรพรรดิ’ มีการสร้างทดแทนขึ้นหลายยุคสมัยตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา ซึ่งรุ่นล่าสุดนี้มีลักษณะคล้ายมงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ดอยู่ไม่น้อย
โดยสร้างขึ้นในปี 1937 สำหรับพระราชพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์จอร์จที่ 6 สมเด็จพระราชบิดาของ ‘สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2’ มีต้นแบบจากมงกุฎที่ออกแบบสำหรับ สมเด็จพระราชินีวิกตอเรียในปี 1838 โดย Rundell, Bridge & Rundell บริษัทอัญมณีและช่างทองในลอนดอนสมัยนั้น
องค์มงกุฎมีฐานประดับด้วยกางเขนแพตตี (cross pattée) จำนวน 4 กางเขน สลับกับเฟลอ-เดอ-ลีส์ (fleur-de-lis) หรือช่อดอกลิลลีจำนวน 4 ช่อ
เหนือจากฐานมงกุฎขึ้นไปเป็นซุ้มโค้งจำนวน 4 โค้งตัดกัน ด้านบนจุดตัดเป็นลูกโลกรองรับกางเขนแพตตีซึ่งเป็นยอดสูงสุด ภายในตรงกลางมงกุฎเป็นพระมาลากำมะหยี่ที่มีขอบเป็นขนเออร์มิน
องค์มงกุฎประดับอัญมณีหลายชนิด ประกอบด้วยเพชร 2,868 เม็ด, ไข่มุก 273 เม็ด, แซฟไฟร์ 17 เม็ด, มรกต 11 เม็ด, ทับทิม 5 เม็ด
ไพลินเซนต์เอ็ดเวิร์ดประดับบนกางเขนแพตตีตำแหน่งสูงสุด
อัญมณีที่มีชื่อเสียง ได้แก่อัญมณีที่ประดับบนกางเขนตำแหน่งสูงสุดของมงกุฎ เรียก St. Edward's Sapphire (ไพลินเซนต์เอ็ดเวิร์ด) ไพลินทรงแปดเหลี่ยม เจียระไนแบบ rose-cut เลียนแบบการแย้มบานของดอกกุหลาบ ซึ่งเป็นรูปแบบการเจียระไนที่มีมาตั้งแต่ปีค.ศ.1520 ไพลินเม็ดนี้นำมาจากแหวน (หรือ จุลมงกุฎ) ของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพ
บนกางเขนแพตตีด้านหน้าของมงกุฎ ประดับอัญมณีสีแดงขนาดใหญ่ราว 170 กะรัต ชื่อ Black Prince's Ruby (ทับทิมเจ้าชายดำ) มีบันทึกว่า อัญมณีเม็ดนี้ขุดพบเมื่อราวศตวรรษที่ 14 ในเหมืองพลอยแห่งหนึ่งซึ่งปัจจุบันคือบริเวณประเทศทาจิกิสถาน
กษัตริย์ดอน เปโดร (Don Pedro) แห่งสเปน ได้มอบให้เป็นของขวัญแก่เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดแห่งเวลส์ หรือที่รู้จักกันในนามของ เจ้าชายดำ (Edward, the Black Prince) ในโอกาสที่ร่วมกันรบจนมีชัยเหนือศัตรู
ความจริงอัญมณีสีแดงเม็ดนี้ไม่ใช่ทับทิม แต่เป็นสปิเนล (Spinel) มีสีสันสวยงามหลากสี แต่สีซึ่งเป็นที่ต้องการมากที่สุดคือสีแดงที่มีความคล้ายทับทิม มีความแข็งเป็นรองแค่เพชร ทับทิม และไพลิน
ทับทิมเจ้าชายดำ และ เพชรคัลลินัน ที่ 2
หน้ามงกุฎบริเวณฐาน (ด้านล่างของทับทิมเจ้าชายดำ) ประดับ Cullinan II diamond หรือ ‘เพชรคัลลินัน ที่ 2’
เพชรคัลลินัน เป็นอัญมนีดิบขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบ หนัก 3,106.75 กะรัต (621.35 กรัม) มีความยาวประมาณ 10.5 ซม. (4.1 นิ้ว) ค้นพบเมื่อวันที่ 26 มกราคม ค.ศ.1905 ในเหมืองพรีเมียร์ 2 ใกล้กับกรุงพริทอเรีย ประเทศแอฟริกาใต้ ได้รับการเจียระไนเป็น 9 เม็ดใหญ่ และ 96 เม็ดย่อย
เจ้าของเหมืองในเวลานั้นได้ถวายเพชรคัลลินันที่เจียระไนแล้ว คือ คัลลินัน ที่ 1 และ คัลลินัน ที่ 2 แด่ สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ทรงนำเพชรคัลลินันที่ 1 ซึ่งเป็นเพชรเจียระไนขนาดใหญ่ที่สุดในโลกประดับไว้ ณ ส่วนยอดของ คทากางเขน (Sceptre with the Cross) หนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งสหราชอาณาจักร และ เพชรคัลลินัน ที่ 2 ประดับไว้ ณ มงกุฎอิมพีเรียลสเตต
ไพลินสจวต น้ำหนัก 104 กะรัต ด้านหลังมงกุฎอิมพีเรียลสเตต
บนขอบมงกุฎอิมพีเรียลสเตตด้านหลัง ประดับอัญมณี Stuart Sapphire (ไพลินสจวต) น้ำหนัก 104 กะรัต (20.8 กรัม) ตั้งตามชื่อราชวงศ์สจวตแห่งสกอตแลนด์
เมื่อเสร็จสิ้นพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 6 พฤษภาคม 2566 สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 จะทรงสวม มงกุฎอิมพีเรียลสเตต ในการเสด็จพระราชดำเนินออกจากมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ แสดงถึงการเสด็จขึ้นสู่การเป็นกษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการ
อ้างอิงและ credit photo :
- AFP
- เว็บไซต์ Historic Royal Palaces
- เว็บไซต์ The British Monarchy