รู้จัก “NIKE Air Jordan 1” รองเท้า Sneaker ระดับตำนาน
ก่อนจะมาเป็นหนึ่งในรองเท้า Sneaker ขายดีที่สุดตลอดกาล รู้หรือไม่? NIKE Air Jordan 1 เกือบจะไม่ได้วางขาย และเคยทำให้นักบาสชื่อดัง ไมเคิล จอร์แดน ถูกปรับทุกครั้งที่ลงแข่ง
“NIKE Air Jordan 1” คือ รองเท้าบาสเกตบอลขึ้นหิ้งที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี ก็ยังคงได้รับความนิยมจากผู้สวมใส่ในวงการกีฬาและวงการแฟชั่นระดับท็อปอยู่เสมอ โดยเฉพาะผู้ที่คลั่งไคล้รองเท้า Sneaker (สนีกเกอร์) ตัวจริง ล้วนต้องมี สนีกเกอร์สีขาว ดำ แดง คู่นี้ไว้ครอบครอง โดยมีเทพเจ้าแห่งวงการบาสเกตบอล “ไมเคิล จอร์แดน” ผู้เป็นทั้งพรีเซนเตอร์และแรงบันดาลใจให้กับรองเท้าคู่ดังกล่าว รวมไปถึงรองเท้าตระกูลแอร์จอร์แดนรุ่นต่อๆ มาด้วย
ภาพ รองเท้า NIKE Air Jordan 1 จาก Sneaker News
แต่รู้หรือไม่? NIKE Air Jordan 1 เกือบจะไม่ได้เป็นตำนานมาจนถึงวันนี้เพราะก่อนหน้านั้น ไมเคิลชื่นชอบรองเท้าของแบรนด์คู่แข่งอย่าง “Adidas” มากกว่า แต่ไปๆ มาๆ กลับลงใจให้รองเท้าไนกี้แอร์จอร์แดนในที่สุด พร้อมเซ็นสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้แบรนด์ไนกี้อีกด้วย หลังจากนั้นเมื่อใส่รองเท้าคู่นี้ลงแข่งขัน ก็ยังไม่วายถูก NBA ปรับทุกครั้งที่ลงสนามเป็นเงินถึง 5,000 เหรียญสหรัฐ เนื่องจากรองเท้าไนกี้แอร์จอร์แดนผิดระเบียบการแข่งขันในขณะนั้น
ภาพ ไม่เคิล จอร์แดน (เสื้อขาว) สมัยวัยรุ่นที่ยังสวมรองเท้า Adidas ในการแข่งขัน จาก Men Details
- เกือบจะไม่ได้เป็นตำนาน เมื่อไมเคิล จอร์แดน บอก “ผมชอบอาดิดาสมากกว่า”
สำหรับพรีเซ็นเตอร์ตัวพ่อของไนกี้แอร์จอร์แดน จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “ไมเคิล เจฟฟรีย์ จอร์แดน” ผู้โด่งดังในฐานะนักกีฬาบาสเกตบอลหน้าใหม่ที่มีฝีมือการเล่นระดับเทพมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น โดยสมัยนั้นเขาติดทีมบาสเกตบอลโรงเรียน และทีมในมหาวิทยาลัย เขาเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นด้วยการพาทีมบาสเกตบอลของมหาวิทยาลัยนอร์ธ แคโรไลน่า คว้าแชมป์ระดับประเทศ และเข้าร่วมทีมชาติสหรัฐอเมริกาพร้อมคว้าเหรียญทองโอลิมปิกมาได้
หลังจากนั้น ไมเคิล จอร์แดน กลายเป็นนักกีฬาที่ทีมระดับประเทศหลายๆ ทีมให้ความสนใจ แต่ตัวเขาเองเลือกที่จะเข้าสังกัดทีมชื่อดังอย่าง ชิคาโก้ บูลส์ (Chicago Bulls) หลังจากนั้นบริษัทไนกี้ทาบทามให้เขาเป็นพรีเซ็นเตอร์รองเท้าบาสเกตบอล แต่เนื่องจากไมเคิลชอบรองเท้าแบรนด์ คอนเวิร์ส และอาดิดาสมากกว่า เพราะใส่แข่งมาตั้งแต่ระดับมหาวิทยาลัยจนถึงโอลิมปิก นอกจากนี้ไนกี้ยังเป็นเพียงแบรนด์กีฬาน้องใหม่ที่ตัวเขาเองยังไม่คุ้นเคย แถมยังเป็นคู่แข่งของแบรนด์โปรดเขาจึงปฏิเสธข้อเสนอของไนกี้ในตอนนั้นที่มีมูลค่าถึง 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และติดต่อไปที่อาดิดาสแทนแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อรองเท้าที่เขาชื่นชอบให้คำปฏิเสธกลับมา
เนื่องจากอาดิดาสมีปัญหาภายในอย่างมากหลังจากที่สูญเสียผู้นำอย่าง อาดิ ดาสส์เลอร์ ไปในปี 1978 ทำให้ไม่พร้อมพิจารณาข้อเสนอให้แก่นักกีฬาหน้าใหม่ที่ยังไม่ได้โอกาสแจ้งเกิด ทำให้ไมเคิลกลับมาพิจารณาข้อเสนอของไนกี้อีกครั้งด้วยคำแนะนำจาก เดวิด ฟอล์ก และเซ็นสัญญาในเวลาต่อมา แต่เพราะไมเคิลเป็นนักกีฬาหน้าใหม่ไนกี้จึงมีเงื่อนไขว่า ต้องได้รางวัลผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปี, ต้องเป็นผู้เล่นออลสตาร์ และต้องทำคะแนนเฉลี่ยได้ 20 แต้มต่อเกม โดยในเวลา 3 ปี ไมเคิล ต้องทำตามให้ได้อย่างน้อย 1 ใน 3 เงื่อนไข แต่เขาสามารถทำได้ครบทุกข้อและก้าวขึ้นเป็นนักกีฬาแถวหน้าได้ในที่สุด
ภาพ ไมเคิล จอร์แดน (ขวามือ) สวมรองเท้า NIKE Air Jordan ระหว่างการแข่งขัน จาก Lofficiel
แม้ว่าไนกี้จะได้นักบาสหน้าใหม่ฝีมือดีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องสีรองเท้า ที่ผิดกฎระเบียบของ “สมาคมบาสเกตบอลแห่งชาติ” หรือ NBA ที่กำหนดไว้ว่านักกีฬาบาสเกตบอลต้องสวมรองเท้าสีพื้นเท่านั้น แต่รองเท้าไนกี้ที่ไมเคิลใส่นั้นเป็นสีดำคาดแดง ทำให้ไนกี้ต้องจ่ายค่าปรับแทนไมเคิลเป็นเงิน 5,000 เหรียญ ทุกครั้งที่เขาลงแข่งขัน แต่นั่นกลับทำให้รองเท้าแอร์จอร์แดน 1 โด่งดังเป็นพลุแตก และทำให้ NBA ยกเลิกกฎดังกล่าวไปในที่สุด
ภาพ โฆษณาของ ไนกี้ กับ ไมเคิล จอร์แดน ที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้โลโก้ Jumpman จาก ทวิตเตอร์ของ Darren Rovell
ต่อมาไนกี้ได้ผลิตรองเท้าตระกูลแอร์จอร์แดนตามออกมาอีกถึง 37 รุ่น แต่สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์คือโลโก้ Jumpman ซึ่งมาจากภาพเงาของไมเคิลกำลังทำท่า Dunk ซึ่งมาจากรูปถ่ายโฆษณาในปี 1985 แม้ว่าปัจจุบันนี้ไมเคิลจะไม่ได้เป็นนักกีฬาแล้วแต่เขายังคงได้รับเงินส่วนแบ่งจากสินค้าตระกูลจอร์แดนทั้งหมด
- สินค้าตระกูลแอร์จอร์แดน เป็น Passive Income ของไมเคิล?
ตั้งแต่ปี 1984 จนถึง 2003 นอกจากจะเป็นความสำเร็จด้านบาสเกตบอลอาชีพของ ไมเคิล จอร์แดน แล้ว ยังเป็นความสำเร็จด้านการเงินของเขาอีกด้วย เนื่องจากสินค้าต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตระกูล ไนกี้ แอร์จอร์แดน ทำให้เขายังได้รับส่วนแบ่งอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันแม้ว่าจะเลิกเล่นบาสเกตบอลไปแล้วหลายปี และบางครั้งสินค้าเหล่านี้ยังทำรายได้แซงหน้าสินค้าอื่นๆ ในเครือไนกี้ด้วย ทำให้บางครั้งมีการทำการตลาดแยกกันจนสร้างความสับสนว่า แท้จริงแล้วแอร์จอร์แดนยังเป็นของไนกี้อยู่หรือเปลี่ยนมือมาเป็นของไมเคิลกันแน่?
สำหรับคำตอบเรื่องนี้พบว่าสินค้าแอร์จอร์แดนยังคงเป็นของไนกี้ แต่ไนกี้ได้ยินยอมก่อตั้งบริษัทย่อยขึ้นมาเพื่อดูแลแบรนด์แอร์จอร์แดนโดยเฉพาะ แม้ว่าจะมีไนกี้เป็นผู้ถือหุ้นแต่ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน หรือ ค่าสิทธิ (Royaties) ให้กับไมเคิลสำหรับรองเท้าทุกคู่ที่ขายได้ภายใต้แบรนด์แอร์จอร์แดนไปตลอดกาล หมายความว่าไมเคิลจะได้รับเงินจากไนกี้ตลอดไปซึ่งแทบไม่เกิดขึ้นกับนักกีฬาคนอื่น เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแค่การร่วมงานกันด้วยสัญญาชั่วคราวเท่านั้น
แต่สำหรับสินค้าตระกูลแอร์จอร์แดนเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ไนกี้จับมือกับไมเคิลอย่างถาวร โดยไม่จำเป็นต้องกังวลกับปัญหาลิขสิทธิ์ในระยะยาว ข้อมูลจาก Fobes ระบุว่า ในปี 2019 สินค้าตระกูลแอร์จอร์แดนทำรายได้ถึง 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มีส่วนแบ่งการตลาดในหมวดรองเท้าบาสเกตบอลแบบไลฟ์สไตล์มากถึงร้อยละ 96
สำหรับยอดขาย NIKE Air Jordan ในปี 2021 ถือว่าประสบความสำเร็จถล่มทลายเพราะสามารถโกยรายได้เข้าบริษัทได้ถึง 14.7 พันล้านเหรียญ ส่วนรายได้ต่อปีของสินค้าตระกูลแอร์จอร์แดนอยู่ที่ประมาณ 150 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสินค้าขายดีและทำกำไรสูงสุดตลอดกาลของไนกี้ที่ไม่ว่าจะผลิตมาขายกี่ครั้งก็ยังเป็นที่ต้องการของบรรดานักสะสมก็ว่าได้
นอกจากนี้หลายคนอาจคิดว่าชื่อแบรนด์ แอร์จอร์แดน เป็นชื่อที่ไนกี้หรือไมเคิลตั้งให้ แต่ความจริงชื่อนี้มีที่มาจาก เดวิด ฟอล์ก ผู้เป็นเอเย่นต์คู่ใจของไมเคิลเสนอให้เป็นชื่อแบรนด์นั่นเอง
- จากรองเท้ากีฬา ก้าวเข้าสู่วงการแฟชั่น
หลังจากแอร์จอร์แดนสามารถตีตลาดกีฬาได้แล้ว จากนั้นไม่นานก็เข้าสู่วงการแฟชั่นประหนึ่งว่ามันเป็นหนึ่งใน “ของมันต้องมี” ของผู้ชื่นชอบการแต่งตัวแนวสตรีต โดยช่วงแรกมันได้รับความนิยมจากคนในวงการฮิปฮอป ซึ่งศิลปินแนวหน้าของวงการอย่าง LL Cool J และ Jay Z ไปจนถึงศิลปินรุ่นใหม่ A$AP Rocky ก็เคยสวมแอร์จอร์แดนมาแล้ว
แม้แต่ศิลปินชาวร็อคอย่าง Lars Ulrich แห่งวง Metallica และ Anthony Kiedis จากวง Red Hot Chilli Pepper ก็เคยใส่แอร์จอร์แดนขึ้นเวทีคอนเสิร์ตมาแล้ว รวมไปถึงดาราฮอลลีวูดอย่าง Mark Wahlberg และ Jason Dudeikis ก็ยังเลือกสวมแอร์จอร์แดนเช่นกัน ทำให้ความนิยมในตัวรองเท้าแพร่กระจายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว เพราะหลายคนพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ารองเท้ากีฬาก็สามารถสวมใส่ให้เป็นเแฟชั่นได้
ปัจจุบันสินค้าตระกูลแอร์จอร์แดนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย มีการนำกลับมาขายซ้ำหลายรอบ โดยเฉพาะ แอร์ จอร์แดน 1 ซึ่งเป็นรองเท้าระดับตำนานที่ไมเคิล จอร์แดน สวมใส่และคว้าชัยชนะให้ทีมมาแล้วหลายครั้ง โดยการนำกลับมาขายนั้นมีทั้งแบบ OG (สินค้าตัวต้นฉบับ หรือ Original) ซึ่งเป็นสินค้าตัวใหม่ที่ทำออกมาเหมือนกับคู่ต้นฉบับในปี 1985 ทุกอย่าง และแบบธรรมดาที่มีการปรับแต่งให้มีความทันสมัยมากขึ้น
นอกจากนี้ “NIKE Air Jordan 1” ยังเป็นหนึ่งในสนีกเกอร์ที่ราคาพุ่งสูงขึ้นทุกปี จึงไม่แปลกที่เป็นที่ชื่นชอบของนักสะสมสายแฟชั่น เพราะนอกจากรองเท้าจะมีความสวยงามในตัวมันเองแล้วเรื่องราวของมันเองก็ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
อ้างอิงข้อมูล : Sneakavilla, Men Details, Soul4Street, Ahead.Asia, ESPN, Esquire, The Standard, A day bulletin, Lifestyle Asia, Sportingnews และ Lofficiel