‘Victoria’s Secret Show’ กลับมาในรอบ 4 ปี เปิดภาพจำใหม่ หลากหลาย-เท่าเทียม
“Victoria’s Secret Fashion Show” การเดินแบบ “ชุดชั้นใน” อันโด่งดังของวงการแฟชั่นที่จัดขึ้นทุกปี มีภาพจำเป็นนางแบบสาวสุดเซ็กซี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นนางฟ้า แต่แบรนด์กลับห่างหายไปจากการทำโชว์ถึง 4 ปี และกลับมาพร้อมกับภาพลักษณ์ใหม่
Key Points:
- “Victoria’s Secret” แบรนด์ชุดชั้นในชั้นนำระดับโลกสัญชาติอเมริกันที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายทศวรรษ มาพร้อมกับดีไซน์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
- ส่วนสำคัญที่ทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จ คือ การเดินแบบ “Victoria’s Secret Fashion Show” ที่จัดขึ้นทุกปี และมีจุดเด่นอยู่ที่แฟนตาซีบรามูลค่าหลายล้านดอลลาร์
- ในปี 2018 Victoria’s Secret ประกาศยกเลิกแฟชั่นโชว์หลังถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ว่าสร้างมาตรฐานความงามแบบผิดๆ ให้สังคม และหลังหายไป 4 ปี แบรนด์ก็กลับมาจัดโชว์ใหม่ที่มีความแปลกใหม่หลากหลายกว่าเดิม
หนึ่งในโชว์ที่เป็นสีสันของวงการแฟชั่นในทุกๆ ปี คงหนีไม่พ้น “Victoria’s Secret Fashion Show” ของแบรนด์ชุดชั้นในชื่อดัง Victoria’s Secret การเดินแบบชุดชั้นในของนางแบบหน้าสวยหุ่นเป๊ะจนได้รับสมญานามว่าเป็น “นางฟ้า” รวมไปถึงการออกแบบเวทีสุดอลังการที่เต็มไปด้วยแสง สี เสียง จากเทคนิคพิเศษ ไปจนถึงศิลปินชื่อดังที่ได้รับเชิญมาร่วมแสดงสลับหมุนเวียนกันไป
จึงเรียกได้ว่า Victoria’s Secret Fashion Show เป็นโชว์ที่หลายคนรอคอยกันในทุกปีโดยเฉพาะบรรดาแฟชั่นนิสต้า คนในวงการบันเทิง ไปจนถึงผู้คนในแวดวงธุรกิจ เพราะนอกจากจะมีจุดขายเป็นนางแบบแถวหน้ามากความสามารถแล้ว ในแต่ละปีจะมีการเปิดตัว “แฟนตาซีบรา” ราคาสูงลิบลิ่ว ซึ่งถือว่าเป็นชุดฟินาเล่บนรันเวย์ที่จะมีนางฟ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นได้สวมใส่ โดยในแฟชั่นโชว์ปีล่าสุด (2018) สวมใส่โดย Elsa Hosk ในชื่อชุด Dream Angles Fantasy Bra มีมูลค่า 1,000,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 36,480,000 บาท
แม้ว่า “Victoria’s Secret Fashion Show” จะได้รับความนิยมและมีแฟนคลับรอชมโชว์กันทุกปี แต่ในช่วงหลังแบรนด์ต้องเผชิญกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ในประเด็นการสร้างภาพลักษณ์ให้ผู้หญิงต้องสวยตามมาตรฐานความงาม หรือ Beauty Standard ทำให้สังคมมองว่าแบรนด์ไม่เปิดกว้างให้กับผู้หญิงที่มีความหลากหลาย ทั้งรูปร่างหน้าตาและเชื้อชาติ (แม้ช่วงหลังจะมีนางแบบต่างเชื้อชาติมากขึ้นก็ตาม) Victoria’s Secret จึงตัดสินใจงดจัดแฟชั่นโชว์ไปตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา
ล่าสุด.. “Victoria’s Secret” ตัดสินใจกลับมาจัดแฟชั่นโชว์อย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง หลังห่างหายไปนานถึง 4 ปี โดยครั้งนี้แบรนด์ปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์จนกลายเป็นที่ฮือฮาทันทีที่ปล่อยแคมเปญออกมา เพราะนางแบบที่จะร่วมเดินอวดโฉมบนเวทีครั้งนี้มีความหลากหลายในระดับที่ฉีกภาพจำเดิมๆ ทิ้งไปเลย เพราะแบรนด์เปิดโอกาสให้ทั้งนางแบบรูปร่างผอม นางแบบรูปร่างอวบ นางแบบที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ไปจนถึงนางแบบที่มีภาวะด่างขาว ขึ้นมาร่วมโชว์ด้วย
อีกหนึ่งความพิเศษของ Victoria’s Secret ในครั้งนี้ คือ การร่วมมือกับ Amazon Prime เพื่อให้โชว์สามารถรับชมได้ทางแพลตฟอร์มสตรีมมิง ในชื่อ “The Victoria’s Secret World Tour” ตามคอนเซปต์ The World is Their Stage โดยผู้ชมไม่ต้องไปเกาะขอบหน้าเวที ก็สามารถมองเห็นนางแบบและศิลปินได้แบบชัดๆ
- เจาะลึก “Victoria’s Secret” แบรนด์ชุดชั้นในสัญชาติอเมริกัน
สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักแบรนด์นี้ กรุงเทพธุรกิจ ขออธิบายให้รู้คร่าวๆ ว่า Victoria's Secret คือ แบรนด์ชุดชั้นในชั้นนำที่อยู่คู่สหรัฐอเมริกามานานหลายทศวรรษ ด้วยความโดดเด่นด้านดีไซน์และภาพลักษณ์สุดปังจากเหล่านางฟ้าวิคตอเรีย ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างและเปิดสาขาไปทั่วโลก แต่สิ่งที่ทำให้แบรนด์โด่งดังและน่าจับตามองที่สุดก็คือ “Victoria’s Secret Fashion Show” แฟชั่นโชว์ชุดชั้นในสุดอลังการประจำปี ที่ถูกจัดขึ้นตั้งแต่ปี 1995 สร้างนางแบบหลายคนให้ขึ้นไปอยู่แถวหน้าของวงการ จนเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในแฟชั่นโชว์ระดับตำนาน
ในปี 1977 แบรนด์ “Victoria's Secret” ได้ถือกำเนิดขึ้นจากนักธุรกิจชาวอเมริกัน Roy Raymond โดยเขาได้แรงบันดาลใจมาจากการไปซื้อชุดชั้นในให้ภรรยาในห้างสรรพสินค้า แต่กลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าอึดอัด ทำให้เขาเกิดไอเดียที่อยากทำให้ผู้ชายรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อต้องเข้าไปร้านขายชุดชั้นในของสุภาพสตรี
สำหรับชื่อ Victoria's Secret นั้น มาจากควีนวิคตอเรียของอังกฤษ เพราะต้องการสื่อถึงความประณีตของชุดชั้นใน ข้อมูลจาก Slate อธิบายเพิ่มเติมว่า การสร้างแบรนด์ในครั้งนี้มาจากจินตการถึงห้องแต่งตัวสไตล์วิคตอเรียนที่มีพรมแบบตะวันออก ผ้าม่านลูกไม้ และดอกไม้สีเข้ม คล้ายกับว่ามีความลับของวิคตอเรียซ่อนอยู่ภายในห้องนั้น
ต่อมาในปี 1982 Wexner ผู้ก่อตั้ง L Brands ที่อยู่ในช่วงขยายอาณาจักรค้าปลีก ได้ซื้อ Victoria's Secret ทั้ง 6 แห่ง ด้วยมูลค่า 1 ล้านดอลลาร์ และเริ่มเปลี่ยนวิสัยทัศน์ของแบรนด์ให้เน้นไปที่ผู้หญิงแทนผู้ชาย และมันก็ได้ผล เพราะในช่วงต้นทศวรรษ 1990 แบรนด์ก็กลายเป็นผู้ค้าปลีกชุดชั้นในรายใหญ่ที่สุดในอเมริกา มีร้านค้า 350 แห่งทั่วประเทศ และมียอดขายทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์
หลังจากนั้นไม่นานแบรนด์ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก จากการจัด “Victoria’s Secret Fashion Show” ในปี 1995 จนกลายเป็นภาพจำที่สำคัญของแบรนด์มาจนถึงปัจจุบัน
- เมื่อ “Victoria’s Secret Fashion Show” คือจุดขายหลักของแบรนด์
หนึ่งในบุคคลสำคัญที่ทำให้แฟชั่นโชว์นี้กลายเป็นตำนานของวงการแฟชั่นก็คือ Ed Razek ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด โดยเขาและทีมมีหน้าที่คัดเลือกนางแบบที่จะมาร่วมเดินโชว์บนรันเวย์ ทำให้ต่อมามีนางแบบหลายคนแจ้งเกิดจากเวทีนี้ และปัจจุบันก็ยังคงอยู่เป็นนางแบบแถวหน้าในวงการ เช่น Gisele Bündchen, Tyra Banks และ Heidi Klum
ต่อมาในปี 1997 เหล่านางแบบของ Victoria's Secret ก็ถูกเรียกว่า “Victoria's Secret Angel” หรือ นางฟ้าวิคตอเรีย มีที่มาจากแคมเปญโปรโมตชุดชั้นในคอลเลกชัน “Angel” ที่ประกอบไปด้วย Helena Christensen, Karen Mulder, Daniela Peštová, Stephanie Seymour, และ Tyra Banks จนกลายเป็นภาพแทนของนางฟ้าที่เป็นหน้าตาของแบรนด์ไปในที่สุด
สิ่งสำคัญที่หลายคนรอคอยและคาดหวังจาก Victoria’s Secret Fashion Show ก็คือ “Fantasy Bra” หรือ แฟนตาซีบรา ที่ได้รับการออกแบบจากดีไซเนอร์ชื่อดังโดยจะสลับสับเปลี่ยนรูปแบบไปในแต่ละปี และยังมีการประดับประดาด้วยเครื่องเพชรและอัญมณีที่มีมูลค่ามหาศาล โดยแฟนตาซีบราที่มีมูลค่าสูงที่สุดคือ ชุด Red Hot Fantasy Bra ของปี 2000 สวมใส่โดย Gisele Bundchen มีมูลค่า 15,000,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 548,850,000 บาท ประกอบด้วยเพชรทั้งหมด 1,300 กะรัต ทำให้ถูกบันทึกไว้ในสถิติโลกว่าเป็นบราที่มีราคาแพงที่สุด
Gisele Bundchen ในชุด Red Hot Fantasy Bra (Vogue)
เรียกได้ว่า “Victoria’s Secret Fashion Show” ไม่ได้เป็นเพียงการเดินแบบธรรมดา เพราะนางแบบคนไหนที่ได้ขึ้นเวทีนี้จะต้องมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และมีท่วงท่าในการเดินที่สง่างาม นอกจากนี้บรรดาศิลปินที่เคยได้รับเชิญมาแสดงประกอบการเดินแฟชั่นโชว์นั้น ก็ล้วนแต่มีชื่อเสียงในระดับโลก เช่น Taylor Swift, Ed Sheeran, Ariana Grande, Lady Gaga, The Weeknd, Fall Out Boy และในปีนี้ก็เป็นศิลปินสาว Doja Cat มาร้องเพลงประกอบการโชว์
Victoria’s Secret Fashion Show 2018 (People)
- จุดเปลี่ยนของ Victoria’s Secret เมื่อสังคมต้องการความหลากหลาย
แม้ว่าที่ผ่านมาเหล่านางฟ้าวิคตอเรียจะมีความหลากหลายมากขึ้น เมื่อเทียบกับโชว์ในปีแรกๆ แต่ก็ยังก้าวไม่พ้น “Beauty Standard” แบบเดิมๆ ที่มาพร้อมรูปลักษณ์หญิงสาวหุ่นดี หน้าท้องแบนราบ ส่งผลให้ถูกวิจารณ์ในเชิงลบเป็นอย่างมากว่าเป็นแบรนด์ที่ขาดความหลากหลาย บวกกับในช่วงนั้นเริ่มมีแบรนด์ชุดชั้นที่เป็นคู่แข่งเพิ่มขึ้น เช่น Aerie, ThirdLove และ Lively ส่งผลให้ยอดขายของ Victoria’s Secret เริ่มตกต่ำลงในช่วงปี 2015-2018 ส่วนแบ่งการตลาดในสหรัฐอเมริกาลดลงจาก 33% เป็น 24% ทำให้ต้องยกเลิก Victoria’s Secret Fashion Show ในเวลาต่อมา
จากนั้นแม้จะไม่มีแฟชั่นโชว์แต่ทางแบรนด์เองก็พยายามปรับภาพลักษณ์ใหม่ให้มีความทันสมัยและอิงกับกระแสสังคมมากขึ้น เช่น ออกแบบชุดชั้นในให้มีความหลากหลายขึ้น เพื่อให้เหมาะกับรูปร่างผู้หญิงทุกคนที่มีความแตกต่างกันออกไป เสื้อผ้าสำหรับออกกำลังกาย ชุดนอน ชุดว่ายน้ำ รวมถึงมีการแตกไลน์ PINK ที่เป็นชุดชั้นในสำหรับวัยรุ่นออกมาเพิ่มด้วย
Victoria’s Secret PINK (SA current)
หลังจาก Victoria’s Secret ห่างหายไปจากรันเวย์นานถึง 4 ปี ล่าสุดปีนี้ (2023) ก็กลับมาทวงคืนบัลลังก์แบรนด์ชุดชั้นในอีกครั้ง ด้วยการจัด Victoria’s Secret Fashion Show ที่สามารถรับชมได้ทางสตรีมมิงภายใต้ชื่อ “The Victoria’s Secret World Tour”
สิ่งที่เรียกเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างมากไม่ใช่แค่การรวมนางฟ้าวิคตอเรียระดับตำนานมาไว้บนเวทีนี้เท่านั้น แต่ยังมีการเปิดตัวนางฟ้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น พร้อมทั้งปล่อยแคมเปญโปรโมตด้วยการให้เหล่านางฟ้าสวมใส่ปีกเดินเฉิดฉายไปตามท้องถนนของมหานครนิวยอร์ก
ภาพนางฟ้าวิคตอเรียระหว่างการโปรโมต The Victoria’s Secret World Tour (Vogue)
สำหรับ The Victoria’s Secret World Tour ในปีนี้ ไม่ได้มีเพียงการเดินแบบเท่านั้น แต่ยังสอดแทรกเรื่องราวของแบรนด์ในรูปแบบสารคดีอีกด้วย รวมแล้วมีความยาวของโชว์ทั้งหมด 85 นาที โดยโชว์ดังกล่าวสามารถรับชมได้ทาง Prime Video ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
สุดท้ายนี้ก็ต้องติดตามต่อว่าหลังจาก “Victoria’s Secret” สร้างภาพจำใหม่ให้กับแบรนด์ในครั้งนี้แล้วจะสามารถกลับมายืนหนึ่งในวงการชุดชั้นในได้อีกครั้งหรือไม่ เนื่องจากในปัจจุบันมีการแข่งขันสูง มีแบรนด์น้องใหม่เกิดขึ้นมากมายในท้องตลาด รวมถึงความนิยมของผู้บริโภคและค่านิยมทางสังคมที่เปลี่ยนไป
อ้างอิงข้อมูล : Slate, Vogue(1), Vogue(2), Vogue(3) และ Business Insider
