“Hall of Fame” และ “Superheroes” เพลงสร้างพลังบวกจาก “The Script”
ไม่ว่าใครก็เป็นซูปเปอร์ฮีโร่ หรือ มีชื่ออยู่บนหอแห่งเกียรติยศได้ หากเราล้มแล้วลุก ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ เหมือนกับเพลง “Hall of Fame” และ “Superheroes” ที่สร้างพลังบวกและแรงบันดาลใจมากมายจาก “The Script”
Every day, every hour. Turn the pain into power !
ประโยคจบท่อนฮุคของเพลง “Superheroes” หนึ่งในสองเพลงแห่งพลังบวกจาก “The Script” ที่หยิบยกมาพูดคุยกันในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ในทุกๆ วัน และทุกชั่วโมง เราสามารถเปลี่ยนแปลงความเจ็บปวดให้กลายเป็นพลังได้ นี่คือใจความหลักที่เพลงนี้ต้องการจะสื่อไปถึงผู้ฟัง
และสำหรับอีกเพลง “Hall of Fame” ก็มีท่อนที่เป็นตัวเอกอย่าง “Standing in the hall of fame. And the world’s gonna know your name. Cause you burn with the brightest flame. And the world’s gonna know your name. And you’ll be on the walls of the hall of fame”
ที่แปลแล้วมีใจความที่ต้องการสื่อสารว่า เธอจะยืนอยู่บนหอเกียรติยศเพราะเปลวเพลิงที่สว่างโชติช่วงอยู่ในตัวเธอและแน่นอนโลกทั้งใบต้องรู้จักชื่อเธอแน่นอน เปลวเพลิงในที่นี้ไม่ได้หมายถึงไฟจริงๆ แต่เป็นการเปรียบเปรยถึงความสามารถ ความมั่นใจ พลังแห่งความเชื่อมั่นที่ไม่ว่าใครก็แสดงออกมาได้
สิ่งที่ทำให้สัมผัสได้ว่าสองเพลงนี้เป็นเพลงที่ The Script สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อให้ผู้ฟังได้รู้สึกว่าได้รับกำลังใจและแง่คิดในเรื่องความพยายาม ความมั่นใจ และความตั้งใจในการเดินตามความฝันของตัวเองอย่างมั่นใจไม่ว่าผู้ฟังคนนั้นจะเป็นใครอยู่ที่ไหนก็ตาม แต่การสื่อความหมายผ่านเสียงเพลงและมิวสิกวิดีโอนั้นเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถส่งต่อพลังบวกกันได้ แม้ในความจริงยังมีอีกหลายเพลงที่ความหมายไปในเชิงเดียวกันแต่สองเพลงนี้มีลักษณะเด่นทั้งเรื่องเนื้อหาและภาพที่ฉายให้เห็นผ่านตัวละครหลักในมิวสิกวิดีโอ
- เธอเองก็เป็นฮีโร่ได้ถ้าหัวใจนั้นเข้มแข็ง
“When you’ve been fighting for it all your life. You’ve been struggling to make things right. That’s how a superhero learns to fly. Every day, every hour. Turn the pain into power !”
ท่อนฮุกจากอีกหนึ่งเพลงฮิต “Superheroes” มีความหมายแบบตรงๆ เลยว่า “เมื่อเธอได้ต่อสู้มาตลอดทั้งชีวิตของเธอ เธอล้มลุกคลุกคลาน เพื่อพยายามทำให้อะไรมันดีขึ้น นั่นแหละคือหนทางที่เหล่าซูปเปอร์ฮีโร่เรียนรู้ที่จะโบยบิน ทุกๆวัน ทุกๆชั่วโมง เปลี่ยนความเจ็บปวดให้กลายเป็นพลัง” นั่นก็เพราะการที่ใครสักคนจะกลายเป็นซูปเปอร์ฮีโรนั้นไม่จำเป็นจะต้องมีพลังวิเศษอะไรเลย เพียงแค่ต่อสู้กันปัญหาและอุปสรรคที่ต้องเผชิญ เปลี่ยนความเจ็บปวดที่ต้องพบเจอให้กลายเป็นพลังในทุกครั้ง เท่านี้ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นฮีโร่ได้เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าร่างกายก็คือหัวใจที่ไม่ยอมแพ้นั่นเอง และนอกจากนั้นต่อให้เป็นฮีโร่ก็จำเป็นจะต้องมีเรื่องให้เรียนรู้อยู่ตลอด
ในช่วงท้ายของเพลงก็มีประโยคที่น่าสนใจ คือ “Now light a match, stand back, watch them explode” แปลตรงตัวว่า “ถึงเวลาจุดไฟแล้ว ถอยไป แล้วรอดูพวกเขาระเบิดมันออกมา” สามารถมองได้ว่า ไฟ คือ ความสามารถของแต่ละคนที่มีหรือแอบซ่อนอยู่ในตัวพวกเขา แต่ตอนนี้ถึงเวลาต้องปล่อยของแล้ว หรืออาจจะหมายถึงวันที่คนธรรมดาเปลี่ยนมาเป็นฮีโร่หลังจากต้องต่อสู้กับช่วงชีวิตของแต่ละคนมาจนถึงวันที่จะไม่ยอมแพ้อีกต่อไป
อีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจของเพลงนี้คือมิวสิกวิดีโอที่มีตัวละครหลักเป็นคุณพ่อผิวสีวัยกลางคนตื่นเช้าแต่งตัวสวมสูทผูกไทหิ้วกระเป๋าหนังกอดลูกสาวก่อนออกไปทำงาน เหมือนจะเป็นเรื่องปกติถ้าคุณพ่อคนนี้ขับรถหรือขึ้นรถสาธารณะไปทำงาน แต่ภาพที่เห็นคือเขาเดินทางด้วยการเดินทางในเส้นทางที่ค่อนข้างไกลจากบ้านที่อยู่ในย่านชุมชนแออัดไปจนถึงในเขตเมืองก่อนที่จะขึ้นรถรับ-ส่ง พนักงานเพื่อเดินทางไปยังที่ทำงาน โดยทันทีที่เขาไปถึงที่ทำงานเขากลับเปลี่ยนชุดจากชุดสูทที่ดูดีกลายเป็นชุดพนักงานเก็บขยะ และต้องทำงานอยู่บนภูเขาขยะยักษ์กลางแดดที่แผดเผา
ก่อนภาพจะตัดไปที่ลูกสาวของเขาที่กำลังเล่นสนุกอยู่ที่โรงเรียนโดยที่ไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วพ่อของเธอออกไปทำอะไร ก่อนที่จะกลับตัดมาที่คุณพ่ออีกครั้งในช่วงที่ใกล้จะเลิกงานเขาเจอตุ๊กตาตัวหนึ่งในกองขยะจึงเก็บกลับไปเพื่อจะนำไปให้ลูกสาว และเมื่อถึงเวลาเลิกงานเขาก็เปลี่ยนกลับมาใส่สูทและเดินเท้ากลับบ้านเพื่อไปเจอหน้าลูกสาวที่รออยู่พร้อมกับยื่นตุ๊กตาให้ ทำให้ลูกสาวดีใจมากที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่แม้จะไม่รู้ที่มาของตุ๊กตาตัวนั้นก็ตาม
ดังนั้นคำว่า “ซูปเปอร์ฮีโร่” อาจจะไม่ได้หมายถึงมนุษย์สุดแกร่งที่มีพลังวิเศษมาพร้อมกับผ้าคลุมและบินได้ แต่อาจเป็นเพียงคนธรรมดาๆ ที่พยายามทำให้คนที่ตัวเองรักมีความสุข แม้ในบางครั้งจะต้องพยายามมากกว่าคนอื่นแต่สุดท้ายคุณพ่อในมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ก็คือฮีโร่ในสายตาของลูกสาวของเขานั่นเอง นอกจากนี้ภาพยังสื่อได้อีกว่างานของฮีโร่นั้นอาจจะไม่ได้สวยหรูเหมือนอย่างที่ใครหลายคนจินตนาการแต่อาจจะเป็นงานที่ไม่มีใครอยากทำเลยเหมือนกับการที่ต้องอยู่กับภูเขาขยะก็เป็นได้
- โลกนี้จะต้องรู้จักชื่อเธอ เพราะเธอนั้นเต็มไปด้วยความโชติช่วง
“You could be the greatest. You can be the best. You can be the king kong banging on your chest. You could beat the world. You could beat the war. You could talk to God, go banging on his door.”
เพียงแค่ท่อนแรกของเพลง “Hall of Fame” ก็เรียกได้ว่าเป็นการส่งพลังบวกได้มากพอสมควรเมื่อเพลงเปิดตัวมาด้วยประโยคที่มีความหมายว่า “เธอจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ได้ หรือเป็นคนที่เจ๋งที่สุดก็ย่อมได้ จะเป็นคิงคองทุบอกตัวเองแสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ก็ได้ จะเอาชนะโลกใบนี้ หรือเอาชนะสงคราม จะคุยกับพระเจ้า แล้วเคาะประตูบ้านท่านก็ได้” นั่นหมายถึงหากมีความมั่นใจ มีความตั้งใจแล้วอะไรก็ตามที่คาดหวังไว้ย่อมเป็นไปได้เสมอ
หรือในอีกความหมายหนึ่งนอกจากจะบอกว่าใครก็สามารถเป็นผู้ชนะได้ แต่ยังเป็นผลักดันให้ใครที่ได้ผ่านมาฟังเพลงนี้ได้รับกำลังใจและพลังบวกว่าอย่างน้อยกับเรื่องเล็กๆ ที่เราตั้งใจแต่อย่างน้อยก็คือความสำเร็จที่อาจจะมีคนอื่นคอยเฝ้ามองและภูมิใจไปกับเราด้วย
นอกจากนี้การบอกเล่าเรื่องราวความพยายามในการที่จะประสบความสำเร็จนั้นแสดงออกมาชัดเจนผ่านมิวสิควิดีโอที่เล่าผ่านตัวละครสองคนด้วยกัน คนแรกคือนักมวยหนุ่มมือสมัครเล่นที่อาศัยอยู่กับคุณแม่ในบ้านหลังเล็กๆ ที่กำลังออกไปวิ่งในตอนเช้าก็กลับถูกนักเลงเจ้าถิ่นรุมทำร้ายกลางทางและแม้จะไม่มีใครเห็นแต่ก็ไม่มีใครสนใจปล่อยให้เขานอนจมกองขยะต่อหน้าต่อตาและเขาต้องเดินเลือดอาบหน้าไปที่ยิมเพื่อซ้อมโดยที่ร่างกายไม่พร้อม ก่อนจะตัดภาพไปที่ตัวละครคนที่สองนักบัลเลต์สาวผู้ที่หูหนวกและเป็นใบ้อาศัยอยู่กับคุณพ่อและพูดคุยกันด้วยภาษามือ โดยวันนั้นเธอกำลังจะเดินทางไปออร์ดิชันเพื่อรับบทตัวเอกในการแสดงบัลเลต์ แต่เมื่อเธอไปถึงสถานที่คัดตัวทั้งเพื่อนร่วมอาชีพและกรรมการต่างมองเธอด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามเพราะมองเห็นเครื่องช่วยฟังที่หูของเธอ จึงทำให้เธอเกิดอาการประหม่าและทำการแสดงพลาด
มาถึงตรงนี้ตัวละครทั้งสองเหมือนจะตกที่นั่งลำบากแต่สุดท้ายทั้งคู่จินตนาการถึงความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้าไม่ว่าจะเป็นบทนำในการแสดงบัลเลต์หรือเข็มขัดแชมป์มวยสากล ทำให้ทั้งคู่ต่างฮึดสู้โดยที่ภาพตัดไปที่ชายหนุ่มขึ้นชกบนเวทีโดยไม่ยำเกรงต่อคู่แข่งทำให้คว้าเข็มขัดแชมป์มาได้ในที่สุด ในขณะที่นักบัลเลต์สาวได้ใช้ภาษามือสื่อกับกรรมการว่าขอโอกาสอีกหนึ่งครั้งและเอามือไปสัมผัสกับลำโพงเพื่อจับจังหวะการสั่นของเสียงเพลงผ่านลำโพงทำส่งให้เธอจบการแสดงได้อย่างสวยงามและได้รับคัดเลือกในที่สุด ตัวละครทั้งสองคือภาพสะท้อนของคนอีกหลายคนที่มีความพยายามและความตั้งใจจนสุดท้ายก็นำไปสู่ความสำเร็จ ประหนึ่งว่าได้มีชื่อจารึกอยู่ใน “Hall of Frame”
- ทำความรู้จักกับ The Script
หลังจากส่องรายละเอียดยิบย่อยที่แฝงเอาไว้ในเนื้อเพลงทั้งสองเพลงแล้ว เราก็ขอชวนมาทำความรู้จักกับสามหนุ่มจากวง The Script กันก่อน เพราะแน่นอนว่าหากพูดถึงชื่อวงแล้ว หลายคนน่าจะต้องนึกถึงเพลงฮิตอย่าง The Man Who Can't Be Moved, Breakeven, Six Degrees of Separation, Man on a Wire และจะขาดสองเพลงที่เราพูดถึงไปแล้วไม่ได้ “Hall of Fame” และ “Superheroes”
“The Script” วงดนตรีสัญชาติไอร์แลนด์มาจากดับลิน เริ่มฟอร์มวง เมื่อปี 2007 ประกอบด้วยนักร้องนำและคีย์บอร์ด แดนนี โอดอนอฮิว มือกีตาร์ มาร์ก ชีแฮน และมือกลอง เกล็น พาวเวอร์ ก่อนจะย้ายไปอยู่ที่ลอนดอนประเทศอังกฤษพร้อมกับปล่อยอัลบั้มแรกในปี 2008 ที่มีชื่อเดียวกับวง “The Script” และเมื่อปล่อยเพลงได้ไม่นานเพลงของพวกเขาก็กลายเป็นเพลงฮิตติดชาร์จทันที ได้แก่เพลง The Man Who Can't Be Moved และ Breakeven รวมถึงทำให้อัลบั้มขึ้นอันดับหนึ่ง UK Chart อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นการเปิดตัวที่ดีเลยทีเดียว หลังจากนั้นจนถึงปี 2019 พวกเขาออกอัลบั้มรวมทั้งหมด 6 อัลบั้ม มีทัวร์ทั้งหมด 6 ทัวร์
สำหรับรางวัลทั้งหมดที่วงเคยได้รับมาก็ถือว่ามากพอสมควรสำหรับวงที่ฟอร์มวงมาไม่ถึง 10 ปี ได้แก่ World Music Awards, 3 สาขา จาก Meteor Ireland Music Awards, EBBA Awards และ BMI Pop Awards นอกจากนี้ยังได้เข้าชิงเวทีใหญ่ของเกาะอังกฤษอย่าง Brit Awards ถึงสองครั้ง นอกจากการทำเพลงแล้วนักร้องนำอย่าง แดนนี ก็ได้ไปเป็นโค้ชในรายการประกวดร้องเพลงชื่อดังอย่าง The Voice UK 1-2 อีกด้วย ทั้งหมดนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการการันตีคุณภาพของวงก็ย่อมได้
อ้างอิงข้อมูล : The Script และ Mangozero