ครบ 101 ปี ภาพถ่าย "Overlook Hotel" ฉากหนังสยองขวัญขึ้นหิ้ง "The Shining"
เชื่อว่าคอหนังสยองขวัญตัวยงต้องเคยดู "The Shining" ภาพยนตร์สยองขวัญสุดแหวกจากปี 1980 ที่มาพร้อมฉากโรงแรมสุดอลังการ "Overlook Hotel" ซึ่งภาพถ่ายที่แขวนในโรงแรมนั้นมีอายุครบ 101 ปี พอดิบพอดี
ฉากโรงแรมหรูใหญ่โตสุดอลังการท่ามกลางหิมะสีขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา เป็นสถานที่ถ่ายทำหลักของภาพยนตร์สยองขวัญสุดแหวกแนว “The Shining” หรือในชื่อภาษาไทยว่า “โรงแรมผีนรก” ซึ่งนำแสดงโดย Jack Nicholson ดาราชายเจ้าบทบาทเจ้ารางวัลออสการ์และรางวัลลูกโลกทองคำ
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีต้นฉบับมาจากปลายปากกาของ “Stephen King” เจ้าพ่อแห่งโลกนวนิยายสยองขวัญซึ่งในบรรดาผลงานเขียนกว่า 60 เล่ม มีนวนิยายหลายเล่มที่ถูกคัดเลือกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ เช่น Carrie, The Shawshank Redemption, The Green Mile และ The Mist เป็นต้น ดังนั้น The Shining นอกจากจะเป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่น่าสนใจสำหรับคอหนังในยุคนั้นแล้ว บรรดาแฟนนวนิยายของ Stephen เองก็ให้ความสนใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
สาเหตุที่ "The Shining" ถือเป็นอีกหนึ่งหนังสยองขวัญขึ้นหิ้งซึ่งยากจะเลียนแบบได้นั้น ก็เพราะว่ามีการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างสลับซับซ้อนและเล่นกับจิตวิทยาเป็นหลัก และที่สำคัญภาพยนตร์เกือบทั้งเรื่องถ่ายทำอยู่ในพื้นที่ของโรงแรมเป็นหลัก นั่นก็คือ "Overlook Hotel" นั่นเอง ซึ่งโรงแรมนี้ไม่มีอยู่จริงแต่เกิดจากการจัดเซ็ตฉากขึ้นมาในพื้นที่ของที่โรงแรมอื่น บวกกับการใช้สเปเชียลเอฟเฟ็กต์เนรมิตรให้กลายเป็นฉากโรงแรมสุดหรูที่ตั้งอยู่บนภูเขาท่ามกลางหิมะโปรยปราย
ก่อนจะไปหาคำตอบถึงที่มาที่ไปของภาพถ่ายของชาวสังคมชั้นสูงที่ถ่ายภายใน Overlook Hotel เราขอพาไปสัมผัสความหลอนแบบไม่จำเป็นต้องมีผีของ The Shining กันก่อน แม้จะผ่านมา 42 ปีแล้ว แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคงถูกพูดถึงมาจนถึงคนรุ่นหลัง
- จาก Timberline Lodge สู่ Overlook Hotel
แม้ Overlook Hotel นั้น ไม่ได้มีอยู่จริง แต่สำหรับแฟนภาพยนตร์ที่อยากไปตามรอยโรงแรมในหนังเรื่องนี้ ก็สามารถเดินทางไปเยือนโรงแรม Timberline Lodge ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับยอดเขา Mount Hood เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน เป็นโรงแรมที่ทีมงานติดต่อมาเพื่อขอใช้บริเวณภายนอก ในการถ่ายทำบางฉากของภาพยนตร์ เช่น สวน ทางเข้าโรงแรม ฯลฯ
ส่วนบริเวณด้านในของโรงแรมเป็นการสร้างฉากขึ้นมาใหม่ภายในสตูดิโอ ซึ่งภายในโรงแรมผู้ชมจะได้เห็นฉากทางเดินหน้าห้องพักเป็นแนวตรงยาวตลอดทาง มีเลานจ์หรูที่มีบาเทนเดอร์เป็นวิญญาณหนุ่มสุดเนี๊ยบคอยให้บริการ ห้องพักที่ดู(เหมือนจะ)แสนสบาย และห้องโถงกว้างขวางที่มีแกรนด์เปียโนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลาง
- Redrum ที่ไม่ได้แปลว่า เหล้า
เหตุการณ์สยองขวัญแปลกประหลาดเริ่มต้นขึ้นเมื่อ แจ็ก ทอร์เรนซ์ (แจ็ก นิโคลสัน) หนุ่มใหญ่ที่รับงานเป็นผู้ดูแลโรงแรมตากอากาศสุดหรู The Overlook ในช่วงโรงแรมปิดทำการในฤดูหนาวยาวนาน 5 เดือน ทำให้ในโรงแรมสุดเก่าแก่แห่งนี้มีเพียงครอบครัวของเขา เวนดี (เชลลี ดูวัลล์) ภรรยา และแดนนี (แดนนี ลอยด์) ลูกชายตัวน้อยที่อายุไม่กี่ขวบใช้ชีวิตโดยลำพัง ไม่กี่วันแรกทุกอย่างเหมือนปกติ แต่หลังจากนั้นพวกเขาถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเพราะระบบสื่อสารและคมนาคมใช้การไม่ได้ อีกทั้งต้องเผชิญหน้ากับเรื่องราวสุดประหลาดในโรงแรม
แต่คาดว่าฉากที่หลายคนจำได้ก็คือ เริ่มมีตัวหนังสือสีแดงปรากฏขึ้นในห้องพักว่า “Redrum” ในตอนแรกเวนดียังไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร แต่เมื่อเห็นคำนี้สะท้อนในกระจกจึงรู้ว่ามันถูกเขียนย้อนกลับกลายเป็นคำว่า Murder หรือ ฆาตกร นั่นเอง หลังจากนั้นก็ยิ่งเกิดเหตุการณ์สุดสยองขึ้นกับเธอและลูกชายมากขึ้นเรื่อยๆ เฃในท้ายที่สุดเธอต้องพาลูกชายหนีจากสามีของเธอที่เกิดอาการคุ้มคลั่งแบบฉุดไม่อยู่และใช้ขวานไล่ฟันฃภรรยาและลูกแบบไร้สติ และแม้ว่าเวนดีกับลูกชายจะรอดพ้นไปได้ รวมถึงโรงแรมราบเป็นหน้ากลอง แต่แจ็กเองกลับต้องพบจุดจบสุดงง
- 101 ปี ภาพถ่ายไร้ที่มา ณ Overlook Hotel
หลังจากฉากจุดจบของแจ็กที่หลายคนต้องเกาหัวว่าหมายถึงอะไรแล้ว ภาพยนตร์ยังพาเราย้อนกลับเข้าไปในโรงแรมที่ยังคงอยู่ในสภาพสว่างไสว แลดูอบอุ่น แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ชมต่างพากันงงไปตามๆ กัน ก็คือ ภาพถ่ายขาวดำที่แขวนอยู่ในห้องโถงของโรงแรม ซึ่งหากมองผ่านๆ ก็เหมือนการถ่ายภาพหมู่ของชนชั้นสูงในงานเลี้ยงทั่วไป
แต่บุคคลที่อยู่ตรงกลางของภาพถ่ายนั้น คือ แจ็ก ทอร์เรนซ์ แถมยังมีวันที่ระบุเอาไว้ด้วยว่าถ่ายเมื่อ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1921 ซึ่งไม่ตรงกับปีในหนังสือนิยาย 1977 หรือปีที่ภาพยนตร์ออกฉาย 1980 ทำให้ผู้ชมต้องมาตีความและถกเถียงกันว่าความจริงแล้ว แจ็ก คือใครกันแน่ เขาเคยมีตัวตนจริงอยู่ที่โรงแรมในฐานะใครมาก่อนหรือไม่ และเมื่อเทียบเวลากับปีปัจจุบัน(2022) ภาพนี้จะมีอายุครบ 101 ปี พอดี
แต่หลังจากนั้นก็เริ่มมีผู้ตั้งทฤษฎี ออกมาว่า ภาพดังกล่าวถ่ายขึ้นในงานปาร์ตี้ของโรงแรมในวันชาติอเมริกา และเรื่องราวทั้งหมดในฉากนั้นคือการสื่อถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุของชาวอินเดียนแดง ก่อนที่คนผิวขาวชาวอเมริกันจะยึดอาณาจักรและก่อตั้งเป็นดินแดนอเมริกาในภายหลัง ซึ่งตำแหน่งที่ตั้งของโรงแรมสแตนลีย์ที่อยู่ในรัฐโคโลราโด ยังเป็นที่ตั้งของชนเผ่าเก่าแก่ของชาวอินเดียนแดงด้วย
แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีอายุถึง 42 ปี และไม่ได้มีเอฟเฟ็กต์น่าตื่นตาตื่นใจเหมือนกับภาพยนตร์ยุคปัจจุบัน แต่ด้วยความน่าตื่นเต้นที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณทำให้ผู้ชมล้วนเอาใจช่วยเวนดีและลูกชายกันอย่างนั่งไม่ติด รวมถึงพล็อตเรื่องที่ไม่ล้าสมัยทำให้หยิบมาดูซ้ำอีกได้ สำหรับเทศกาล “ฮาโลวีน” ในปีนี้หากใครยังไม่มีแผนจะทำอะไรหรือไปไหน ลองหาภาพยนตร์สยองขวัญ อย่าง “The Shining” มาชมเพื่อเข้าถึงบรรยากาศของวันฮาโลวีนมากขึ้น แต่ถ้าดูจบแล้วยังไม่จุใจ ก็สามารถชมภาคต่ออย่างเรื่อง “Room 237” และ “Doctor Sleep” ตามลำดับ เพิ่มความสยองให้ต่อเนื่องได้อีกด้วย
อ้างอิงข้อมูล : Beartai, adaybulletin, GQ, Vogue และ หอภาพยนตร์