“ฮูพ BNK48” จากเด็กผู้หญิงบ้าพลัง สู่การขึ้นมาเป็นกัปตันทีม BIII ของ “BNK48”
จากเคยสนุกสนานไปวันๆ หลงใหลและบ้ากิจกรรมกลางแจ้งเป็นที่หนึ่ง จนถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้ “ฮูพ BNK48” เดินตามความฝันอย่างมุ่งมั่น กระทั่งถึงวันนี้ที่เธอได้รับโอกาสมากมายรวมถึงเป็นกัปตันทีม BIII ของ “BNK48”
ถ้านับระยะเวลาที่ ปาฏลี ประเสริฐธีระชัย หรือ ฮูพ BNK48 เข้ามามีนามสกุล BNK48 ต่อท้ายในฐานะเมมเบอร์รุ่นที่สามของวง ก็นับว่าไม่นานนัก แต่ความมุ่งมั่นที่มี บวกกับความสามารถรอบด้านทำให้เธอได้รับโอกาสมากมายตั้งแต่การติดเซ็มบัตสึ, ได้เป็นเซ็นเตอร์ซิงเกิล และล่าสุด เธอคือ กัปตันทีม BIII คนใหม่ ถัดจาก ปัญ BNK48
โอกาสและความสำเร็จบนเส้นทางที่เธอเดินมาตลอดอาจทำให้หลายคนคิดว่าทุกอย่างเป็นใจ และเข้ามาหาฮูพอย่างง่ายดาย แต่สิ่งที่เธอกำลังเล่าให้ฟังคือการต่อสู้ที่ไม่ได้เหนื่อยน้อยไปกว่าใครๆ เลย
ก่อนเป็น BNK48?
หนูเป็นคนที่ไม่ค่อยทำอะไรเท่าไร หนูเป็นคนชอบวิ่งเล่น ชอบเล่นกลางแจ้ง และไม่ชอบอยู่นิ่งๆ แต่ภายในความซน หนูก็มีความขี้เกียจในตัวสูงมาก แต่พอเข้ามาเป็น BNK48 แล้ว มีอะไรที่ทำให้หนูต้องเปลี่ยนแปลง ต้องพัฒนาตัวเองขึ้นไป อย่างความคิดบางอย่างก็ปรับเปลี่ยนไปด้วยตามช่วงเวลา
ด้วยสิ่งที่เราเจอหลายๆ อย่างด้วย ทำให้เราคิดอะไรที่เปลี่ยนไป เมื่อก่อนหนูเป็นคนที่แคร์คำคนรอบข้างมากๆ แต่พอเข้ามาอยู่ในนี้แล้ว ได้เจอเหตุการณ์อะไรหลายอย่างก็ทำให้เราเรียนรู้ว่าคำบางคำเราไม่ต้องเก็บมาใส่ใจจนมันมาทำร้ายตัวเราเอง มาทำให้เราสูญเสียตัวตนของเรา ซึ่งเพลง Make Noise ที่หนูได้เป็นเซ็นเตอร์ก็เล่าเรื่องนี้ได้ดีมากๆ
เส้นทางกว่าจะมาเป็น BNK48
เริ่มจากหนูเป็นเด็กน้อยซนๆ คนหนึ่ง แล้วคุณแม่ก็เห็นว่าหนูว่าง แม่เป็นคนที่ชอบให้หนูเรียนรู้ทุกอย่าง แต่แม่ไม่ได้เน้นวิชาการเลย หนูไม่เคยเรียนติวอะไรเลย แต่แม่จะให้เรียนบัลเลต์ ให้ไปต่อยมวย ให้ไปลองทำนู่นทำนี่ หรืออย่างดริฟท์รถ พ่อกับแม่หนูก็ให้ไปดริฟท์เพราะเขาอยากให้หนูมีทักษะในการควบคุมรถเวลาขับรถเองแล้วเจออุบัติเหตุ
เด็กๆ หนูว่างๆ คุณแม่ก็เลยส่งหนูไปเรียนเปียโนค่ะ แล้วได้เจอกับพี่แก้ว BNK48 แต่ก็ห่างหายกันไป แล้วหนูก็อยากเข้าไปเรียนมหิดล เพราะที่นั่นวิชาเปียโนดัง หนูเห็นพี่แก้วก็อยากไปบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เข้าค่ะ เพราะไม่ได้เอาดีด้านเปียโน
ตอน ม.ปลาย หนูเรียนศิลปะเยอะมาก เพราะมันเลือกวิชาได้ แล้วหนูไม่ได้เรียนวิชาการเยอะ หนูมาสายศิลปะ การแสดง อะไรทำนองนี้ค่ะ ครูก็เชียร์ให้มาทางศิลปะ ก็เลยไปทางด้านนั้น
ช่วงที่กำลังเป็นรอยต่อระหว่างมัธยมกับมหาวิทยาลัยก็เป็นช่วงว่างพอดี เด็กๆ แม่ไม่เคยส่งหนูเรียนเต้น แต่พี่ชายหนูเรียนเต้น หนูต้องไปแอบอยู่ในคลาสด้วย ไปขอเต้นด้วย จนทางโรงเรียนเขาให้หนูไปเต้นโชว์ด้วย หลังจากนั้นก็ไม่ได้เต้นมาอีกเลย ก็มีเต้น Cover กับเพื่อนๆ บ้างเพราะหนูมีเพื่อนเกาหลีที่ชวนเต้น จนถึงช่วงรอยต่อที่บอกไป คุณแม่ถึงได้ส่งไปเรียนร้องเรียนเต้นค่ะ
พอได้เข้าไปเรียนก็เลยได้ไปประกวดบ้าง รวมถึงได้ออดิชัน BNK48 รุ่นสาม
ครอบครัววางอนาคตให้เข้าวงการบันเทิง?
ไม่เลยค่ะ บ้านหนูไม่ได้ดันให้ลูกเป็นดาราเลยค่ะ เพราะตอนเด็กๆ พี่ชายหนูเคยเล่นละคร แล้วแม่รู้สึกว่าการไปรับส่งลูกถ่ายละครมันเหนื่อยมาก แม่ก็เลยไม่เคยเชียร์หรือดันให้ลูกว่าต้องไปทางนี้ แต่เพื่อนแม่หนูเขาเป็นครูสอนร้องเพลง เขาก็เลยเชียร์ เลยได้มาลอง
ที่บอกว่าชอบแดดมาก คือชอบขนาดไหน
โอ้โห ตอนนั้นหนูชอบมากค่ะ ตอนช่วงประถมมัธยม หนูชอบออกแดดมาก แทบจะทุกช่วงที่พักหนูจะไปเล่นกลางแดด เครื่องเล่นที่สูงๆ ก็เล่น เคยกระโดดลงมาจากเครื่องเล่นสูงๆ ด้วยค่ะ แล้วหนูก็ชอบวิ่ง วิ่งรอบสนามบอลใหญ่ๆ วิ่งไปเรื่อยๆ ตอนเช้าก็วิ่ง กลางวันก็วิ่ง เย็นก็วิ่ง แล้วชอบไปเล่นบอลกับเพื่อน เล่นบาสกับเพื่อน แต่อย่างเดียวที่หนูไม่ชอบคือว่ายน้ำ หนูว่ายน้ำไม่เป็น แต่ตอนนี้ว่ายเป็นแล้วเพราะตอนเรียนมัธยมโรงเรียนบังคับให้ไปแข่ง แล้วหนูก็ไม่อยากให้เพื่อนแพ้ ไม่อยากให้สีเราแพ้ หนูก็เลยไปลงเรียนว่ายน้ำเพื่อที่จะมาแข่ง (หัวเราะ)
แล้วก็ชอบไปทะเลค่ะ ชอบไปตากแดด อยากผิวแทน มีช่วงที่ผิวแทนฮิตๆ หนูก็อยากบ้าง
พอผิวสีแทนไม่ฮิตแล้วทำอย่างไร
หนูก็ว่ายังฮิตอยู่นะ แต่หนูเริ่มไม่ชอบแล้ว เริ่มอยากให้ตัวเองผิวขาวมากกว่านี้ คือหนูเองอาจจะไม่เหมาะกับผิวสีแทนค่ะ ก็เลยพยายามฟื้นฟูผิว
มีความรู้สึกว่า ฉันไม่น่าตากแดดขนาดนั้นเลย?
เคยมีความรู้สึกนั้นค่ะ แต่ก็มีอีกความรู้สึก ก็เหมือนเป็นประสบการณ์ชีวิตตอนเด็กๆ ค่ะ เพราะถ้าเกิดหนูไม่ได้ทำแบบนั้น ตอนโตมาก็คงไม่มีอะไรให้จดจำค่ะ ได้ลองแล้วก็เลยรู้ว่าไม่เหมาะกับเรา ไม่เอาดีกว่า (หัวเราะ)
ชีวิตของฮูพกับซิงเกิล Make Noise เกี่ยวพันกันอย่างไร
มันเกี่ยวพันกันเยอะมากๆ เลยนะคะพอตั้งใจฟังจริงๆ มัน Related กับการที่เราทำงานในวงการบันเทิง ในวง BNK48 ค่ะ เหมือนมีคนที่คอยจับจ้องเราตลอด ถึงแม้เราจะเป็นคนที่เข้มแข็งมากๆ ในสายตาคนอื่น แต่จริงๆ เราอาจแค่พยายามสร้างกำแพงนี้มาตั้งไว้ไม่ให้คนรู้ว่าข้างในเราคิดอะไรอยู่ มันมีอีกหลายเหตุการณ์เลยที่ทำให้หนูต้องสร้างกำแพงนั้นขึ้นมา
ช่วงหนูเข้ามาแรกๆ หนูไม่ได้สร้างกำแพงนี้ขึ้นมาเพราะรู้สึกว่าเข้ามาแล้วก็สนุกกับมัน จริงๆ แล้วมีอะไรหลายอย่างที่ต้องเจอ ถ้ากำแพงนี้ไม่ได้สร้างขึ้นมา จะทำให้จิตใจเราแย่ลงเรื่อยๆ แล้วเราอาจจะไม่มีความสุขกับการที่อยู่ตรงนี้ก็ได้
แต่ก็ดีมากที่กำแพงนี้หนูไม่ได้เป็นคนสร้างคนเดียว มีทั้งแม่ ทั้งพ่อ ทั้งพี่ ที่คอยมาช่วยสร้างให้ ทั้งรุ่นพี่ที่มาให้คำปรึกษาและทำให้หนูกล้าที่จะสร้างกำแพงนี้ให้มันหนาขึ้น แล้วคอยป้องกันตัวเองไว้
มีช่วงเวลาที่ท้อมากๆ เหนื่อยมากๆ ไหม
ช่วงที่ท้อมากๆ คือช่วงก่อนเดบิวต์ค่ะ เป็นช่วงที่เราไม่ค่อยมีจุดหมายอะไรเลย รู้แค่ว่าเราจำได้ขึ้นเธียร์เตอร์ เราก็แค่ซ้อมไปเรื่อยๆ จนเกิดคำถามว่าเมื่อไรเราจะได้เดบิวต์สักทีนะ คำถามนี้มันเกิดขึ้นกับเพื่อนๆ ทุกคนค่ะ เมื่อไม่ใช่แค่หนึ่งคนเป็น แต่ทั้ง 18 คนเป็นพร้อมกัน มันก็เลยมีความหน่วงอยู่ในใจว่าแล้วเมื่อเราเราจะได้เดบิวต์ มันเลยเป็นช่วงที่ท้อจัง หรือเราจะไม่มีเพลงของรุ่นเราจริงๆ นะ แต่พอได้เดบิวต์ ได้มีเพลง ความรู้สึกนั้นก็คือหายไปเลย
ช่วงนั้นตรงกับช่วงโควิด?
ใช่ค่ะ เป็นช่วงที่โควิดระบาดหนักมาก แล้วพวกหนูต้องอยู่บ้านกัน ไม่ได้เจอหน้าเพื่อนด้วย แล้วต้องควบคุมจิตใจ อารมณ์ตัวเอง มันวนอยู่อย่างนั้นเรื่อยๆ
ก่อนเดบิวต์ จัดการตัวเองกันอย่างไร
พวกหนูจัดการด้วยการสร้างกิจกรรมประจำรุ่น เช่นช่วงคริสต์มาสก็จะมารวมตัวกันกินข้าว จัดปาร์ตี้คริสต์มาส จับฉลากกัน หรือว่าเล่นเกมบัดดี้กัน คือพวกเราจะหากิจกรรมมาเล่นด้วยกันบ่อยมาก เพื่อให้ได้คุยกัน มีประชุมรวมด้วยกัน มา Ice breaking กัน มาคุยถึงปัญหาช่วงนี้ มาคุยกันว่าที่หอมีปัญหาอะไรไหม ทุกคนมีปัญหาตรงไหน พยายามคุยกันให้มากที่สุด
คอนเนคชั่นแบบนี้เกิดขึ้นเฉพาะเด็กหอหรือเปล่า
พอไม่ได้อยู่หอด้วยกันก็มีกิจกรรมแบบนี้น้อยลงมากค่ะ แต่เรามีกรุ๊ปไลน์ที่ไว้คุย หยอกเล่นกัน เราก็จะหาเรื่องมาคุย เช่น มีแฟนคลับทวีตข้อความอะไรตลกๆ มา เราก็จะส่งเข้าไปในกลุ่ม เอาไปคุยกัน ขำๆ กัน จะเป็นฟิลประมาณนี้มากกว่าเพราะทุกคนก็ต้องแยกย้ายกันทำงานและเรียน
เป็นคนที่ไม่คิดอะไรมาก ทำหน้าที่ของตัวเองไปเรื่อยๆ แต่ก็ได้รับโอกาสต่างๆ เช่น เป็นเซ็นเตอร์ เป็นกัปตันทีม?
เราเหมือนเดินอยู่บนความคาดหวังและความกดดันจากหลายๆ ด้าน ถามว่ามันต่างมากไหม ก็คงมาก แต่ไม่ได้ต่างอย่างลิบลับ ก็จะมีความกดดันจากภายนอกเยอะขึ้นกว่าเดิม แต่ภายในหนูก็ไม่ได้กดดันตัวเองเท่าแต่ก่อน แต่ก่อนหนูกดดันตัวเองมาก ก็ไม่รู้ทำไม แต่พอมาถึงจุดนี้เราก็ไม่กดดันตัวเอง เพราะเราทำเป้าหมายของเราได้สำเร็จ แล้วเรารู้สึกว่าใช้โอกาสตรงนี้ให้มันดีที่สุด เราคว้าโอกาสทุกโอกาสที่เข้ามา
ก่อนหน้านี้คือเป็นหนึ่งในสองเมมเบอร์ที่ติดทีมทั้ง BIII และ NV?
ใช่ค่ะ มีหนูกับน้องปาเอญ่าค่ะ ปกติหนูอยู่ทีม BIII อยู่แล้ว ทีนี้ตอนไปสอบร้องเต้น ทีม NV ก็อยากได้ตัวเราด้วย ทาง BIII ก็ไม่ยอม ก็เลยเป็นดีลว่าถ้าสองทีมไม่ยอม ก็แชร์แล้วกัน แบ่งไปอยู่ทั้งสองทีมเลย
ได้รับโอกาสและประสบความสำเร็จหลายอย่างในฐานะ BNK48 มีเป้าหมายต่อไปคืออะไร
หนูอยากลองช่วยเบื้องหลังค่ะ เป็นอะไรที่แปลกๆ เหมือนกัน แต่อยากลองช่วยเบื้องหลัง ก็อยากได้ขึ้นเธียร์เตอร์ที่ AKB48 บ้าง อันนั้นคือเป้าหมายสูงสุดของหนูเลยที่อยากไป ก็ต้องรอดูค่ะว่าใน 6 ปีนี้จะได้ไปไหม
จริงๆ ก็อยากไปญี่ปุ่นในฐานะ BNK48 เพราะหนูไปญี่ปุ่นบ่อยมาก ชอบประเทศญี่ปุ่นมากๆ แต่มันคงจะดีถ้าได้ไปในฐานะ BNK48 รุ่นที่สาม เพราะรุ่นที่สามยังไม่เคยมีใครไปในฐานะ BNK48 เลยสักคน
คิดว่าการต่อสู้และความพยายามของฮูพ จะเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้อย่างไรบ้าง
ความพยายามของแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ ความพยายามในความหมายของหนูคือพยายามที่จะไม่ให้ตัวเองอยู่เฉยๆ แล้วก็พยายามที่จะคว้าทุกโอกาสที่ได้รับมา และพยายามใช้เวลาทุกเวลาให้มีค่าที่สุด
แล้วหนูจะบอกตัวเองเสมอว่า ความพยายามไม่เคยทำร้ายใครสักคน ถึงเราพยายามซ้อมเต้นซ้อมร้อง แต่มีความผิดหวังเกิดขึ้น ก็ไม่ได้แปลว่ามันทำร้ายเราอยู่ มันกำลังให้บทเรียนเราให้เราพยายามมากยิ่งขึ้น ให้เราโตยิ่งขึ้น เพื่อที่จะประสบความสำเร็จค่ะ