มิว นิษฐา พบความสุขในชีวิตเมื่อมีลูก ปล่อยวางทุกข์ ไม่รู้สึกโกรธเกลียดใคร
นางเอกสาว 'มิว นิษฐา' พบความสุขในชีวิตเมื่อมีลูก ชี้ประสบการณ์ทำให้ปล่อยวางจากทุกข์ ไม่รู้สึกโกรธหรือเกลียดใคร
เปิดอีกมุมของนางเอกสาว 'มิว นิษฐา คูหาเปรมกิจ' ที่ไม่เคยมีใครรู้ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันกับชีวิตที่เปลี่ยนไปของคุณแม่ลูก 2 การพบความสุขในชีวิตที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเมื่อมีลูก และประสบการณ์ทำให้ปล่อยวางจากทุกข์ได้ จนพูดได้เต็มปากว่าตอนนี้ไม่รู้สึกโกรธหรือเกลียดใครเลย ในรายการ WOODY FM
ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้เปลี่ยนไปเยอะไหม?
มิว : เยอะนะคะ บทบาทมันมากขึ้นเยอะ จากตอนแรกที่เข้าวงการมา รู้สึกแค่ว่าเราลองเปิดโอกาสให้กับตัวเองดู จริงๆ แล้วพื้นฐานมิวไม่ได้เป็นคนกล้าแสดงออกหรืออยากมาเป็นนักแสดง แล้วหลังจากโอกาสมันเปิด ได้เข้ามาแล้วอยากจะลองใช้ความพยายาม ความตั้งใจของตัวเอง เราต้องขุดลึกมากเลยนะเพราะเราเป็นคนขี้อายกับเอนเนอจี้ที่เราจะใช้ในการแสดงต่างๆ จนมาถึงตอนนี้ มิวก็ไม่รู้ว่ามาถึงตรงนี้ได้ยังไง
ความขี้อายมันเกิดขึ้นตั้งแต่เด็กไหม?
มิว : ตั้งแต่เด็กเลย คือถ้าอยู่ในห้องเรียน คุณครูสอน แล้วเรามีคำถามอยู่ในใจว่าอันนี้มันทำยังไงนะ ก็คือจะไม่กล้ายกมือรอจบคลาสแล้วค่อยไปถามคุณครูนอกรอบหรือถามเพื่อนนอกรอบ แม้กระทั่งงานโรงเรียนก็อยากจะเป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในสปอร์ตไลท์ จะเป็นคนแบบธรรมดามากๆ
จุดที่จะเข้าวงการคือตอนไหน ทำไมถึงยอมทั้งๆ ที่ขี้อายไม่อาจจะยอมรับเงื่อนไขของการเป็นคนดัง?
มิว : ตอนนั้นอะไรที่ยอมใช่ไหมคะ เพราะว่าได้เงิน (หัวเราะ) ตอนแคชโฆษณาแรกเลยรู้สึกว่าทำวันเดียวก็ได้เงินแล้ว เพราะตอนนั้นเราต้องขอเงินพ่อแม่ เริ่มรู้สึกว่าหาเงินได้เอง ก็ลองดูมีโอกาสเข้ามาไม่เสียหายอะไร
ตอนที่เป็นนักแสดงช่อง 3 ก็ยังมีความรู้สึกอายอยู่ไหม?
มิว : อาย ทุกวันนี้ก็ยังมีความอาย มีความตื่น เวลาที่เราต้องไปเจอคนเยอะๆ ไปอยู่ในที่สปอร์ตไลท์ ในอีเว้นท์ เป็นจุดเด่นอะไรอย่างนี้ ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ อาจจะเป็นด้วยความที่เราไม่มั่นใจในตัวเอง ณ ตอนนั้น ขี้อายด้วย มันเลยทำให้การที่เราจะต้องเดินไปไหนคนเดียว รู้สึกเก้งๆก้างๆไปหมดเลย แล้วในวันที่เราจะต้องเป็นนักแสดงอยู่ต่อหน้ากล้องมันเป็นอะไรที่ต้องปรับตัวเยอะมากๆค่ะ มิวว่ามันอาจจะเป็นความที่เรารู้สึกลองดูสักตั้งหนึ่ง ทำให้มันดีที่สุดอะไรแบบนี้ มันก็ดึงเอนเนอจี้ ดึงความกล้าในตัวเองออกมา ทำให้มันแบบผ่านงานต่างๆไปได้
ตอนที่เรามีลูกคนแรกมีวิธีคุยกับ เซนต์ ยังไงว่าเราจะเลี้ยงลูกแบบไหน?
มิว : บ้านเราจะตั้งเป้าอยากให้ลูกมีความสุข ไม่ว่าเขาจะอยากทำอาชีพอะไร อยากเป็นอะไร คืออยากให้พื้นฐานเขาเป็นคนมีความสุข จิตใจดี แล้วเซนต์เขาจะบอกตลอดว่ามิวเป็นคนที่โชคดีมาก ชีวิตมิวไม่ได้ขึ้นสุดลงสุด แต่ว่าเป็นคนแบบมีความสุขกับแต่ละวันมากๆ แล้วมิวเป็นคนไม่คิดมาก คือเจอเรื่องอะไรที่มันไม่ดี มันอยู่กับมิวแค่ 2-3 วันก็ไปแล้ว เหมือนกับเป็นคนไม่มีเรื่องเครียดอยู่ในตัว เหมือนคนมีความสุขตลอดเวลา เซนต์ก็จะบอกตลอดว่ามิวเหมือนเป็นคนมีบุญอะไรแบบนี้ เขาก็อยากจะให้ลูกได้รับตรงนี้จากมิว มีความสุขกับอะไรเล็กๆน้อยๆ ไม่ได้เป็นคนที่ดิ้นรนขนขวายตะเกียกตะกายจนตัวเองไม่มีความสุข
ปล่อยวางความทุกข์ยังไง?
มิว : มิวเป็นคนเซนซิทีฟมากนะ จริงๆ แล้วเวลาเจอเรื่องอะไรนิดหนึ่งร้องไห้เร็วมาก ด้วยความที่ร้องไห้เร็วมันเหมือนได้ถูกระบายออกมาเร็ว ไม่ได้แบบว่าพอเราเจอเรื่องทุกข์ เราต้องสตรอง ห้ามร้องไห้ ต้องแข็งแกร่งสิ เราไม่ ก็ยอมรับให้ตัวเองเสียใจได้ในบางโอกาสที่มันควรจะเสียใจ ก็ร้องออกมา แล้วมิวก็ได้คนรอบข้างเป็นฝ่ายซัพพอร์ตที่ดี มีพ่อแม่ครอบครัวพี่เซนต์ แล้วตอนนี้เรามีลูกเองรู้สึกทุกอย่างมันแบบห้อมล้อมด้วยเกราะป้องกันมีความสุขมากๆ เลย เจอเรื่องอะไรมาพอกลับบ้านมาแทบจะลืมที่เราเจอความทุกข์วันนั้นมาแล้ว เลยทำให้เราปล่อยไปเร็วมาก ด้วยความที่มิวเป็นคนเข้าใจโลก บางทีคนนี้ทำแบบนี้กับเรา ก็พยายามทำความเข้าใจว่าที่เขาทำมาแบบนี้ เพราะอาจจะถูกเลี้ยงดูมาแบบนี้ อาจจะมีความต้องการแบบนี้ เลยมาทำกับเราแบบนี้ พอเราเข้าใจเขา แล้วเราก็ยอมรับ เราก็เลยปล่อยสิ่งนั้นไปได้เลยโดยง่ายดาย คนชอบถามว่ามิวเคยโกรธใครไหม มิวสามารถบอกได้เลยว่ามิวไม่มี รู้สึกว่าชีวิตมิวเบา มีความสุขไม่มีความต้องการอะไรหรือข้างในคุกรุ่น ไม่มีความรู้สึกแบบนั้น อาจจะด้วยประสบการณ์และอายุการทำงาน เลยรู้สึกว่าอะไรที่มันเข้ามาเดี๋ยวมันก็ออกไป
อีกมุมของ มิว นิษฐา ที่ไม่มีใครรู้?
มิว : ตอนสมัยวัยรุ่น ทุกคนก็น่าจะมีช่วงวัยแบบนี้ โชคดีที่พ่อแม่มิวเลี้ยงแบบเข้าใจลูก เขาไม่ได้เลี้ยงแบบว่าอยู่ในกรอบต้องเป๊ะๆ ช่วงวัยรุ่นลูกอยากไปเที่ยว เขาก็รู้สึกว่าอยากไปก็ไป เขาไปรับกลับบ้านแค่นั้นเองปลอดภัยกว่า แบบว่าไม่ให้ลูกไปแล้วลูกจะต้องหนีไปเที่ยว เขาก็ไม่รู้ว่าเราไปเที่ยวไหน
วันนี้ไม่มีโอกาสได้เที่ยวเหมือนสมัยก่อนแล้ว?
มิว : ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาส โอกาสก็ยังมีบ้าง แต่ตัวเราเองไม่อยากไปแล้ว พอมีลูกแล้วไม่อยากไปไหนเลย ตั้งแต่แต่งงานมารู้สึกว่าการได้ออกไปกินข้าวนอกบ้านมันก็คือความสุขอย่างหนึ่งในวันนั้น แต่ตอนนี้พอมีลูกอยากจะกินในบ้านไม่อยากออก ถ้าวันไหนออกต้องมีความจำเป็นมีนัดกับใครต้องออกไปนอกบ้าน ถ้าเป็นเรา 2 คนแทบจะไม่ออกไปกินนอกบ้านเลยค่ะ
ได้เรียนรู้อะไรบ้างในการเป็นคุณแม่?
มิว : คนที่ไม่เคยเป็นแม่ไม่มีทางเข้าใจ พลังแม่มันมายังไงก็ไม่รู้ คือถ้าย้อนกลับไปก่อนจะคลอดลูกยังนึกตัวเองไม่ออกเลยว่าจะเป็นแม่ได้ยังไง จนกระทั่งวันที่คลอดเราเห็นหน้าเขาแล้วมันมาได้เลย เราสามารถทำได้ทุกอย่างให้เขาได้หมดเลย เขาคือความสุขแบบที่เราไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ก่อนหน้าจะมีลูกมิวเป็นคนชอบออกจากบ้าน ส่วนใหญ่ก็จะออกไปหาความสุขนอกบ้านช้อปปิ้งไปเจอกับเพื่อน แต่ ณ วันนี้พอเรามีลูกแล้ว ความสุขคือตื่นมาเจอลูกก็มีความสุขแล้ว เป็นความสุขแบบที่มิวไม่เคยได้รับแบบนี้มาก่อน เป็นความรักที่อธิบายไม่ได้จริงๆ มีความสุขมากแค่ลูกเรียกแม่ อย่างเมื่อวานนี้ฝนตกหนักมาก พอจะพูดเรื่องลูกแล้วแบบ...ไม่อยากร้อง พอขึ้นรถแล้วกางร่มให้ลูก (น้ำตาไหล) เรากางร่มให้เขาขึ้นรถ แล้วเขาถามว่าแม่เปียกไหมแค่นี้ โหยแค่นั้นแหล่ะ (ยิ้ม) ถึงบอกว่าถ้าไม่ได้เป็นแม่ไม่มีทางรู้ความรู้สึกแบบนี้ คือใจมันฟูมาก
ลูกคนที่ 2 วางแผนกับเซนต์ไหม หรือทุกอย่างมาโดยธรรมชาติ?
มิว : วางแผนค่ะ ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะมี 2 คนอยู่แล้วค่ะ คนนี้เราก็เหมือนอยากให้เขาไม่ห่างกันมาก อย่างมิวกับน้องสาวเราห่างกัน 2 ปี ซึ่งมิวก็รู้สึกว่าเป็นช่วงอายุที่กำลังดี ลูกมิวก็จะห่างกันประมาณ 2 ปีกว่า ให้เหมือนเป็นเพื่อนเป็นพี่น้องกันด้วย ตอนนี้มิวก็ชิลล์มากๆ เลย เหมือนเราอาจจะเคยสัมผัสแบบนี้มาแล้ว เลยรู้ว่าเดี๋ยวขั้นตอนต่อไปมันจะเป็นยังไง ตอนนี้เราก็ค่อนข้างจะชิลล์ เพราะเราเอาใจใส่กับการดูลูกคนแรกด้วยมั้งค่ะ เรามีประสบการณ์มาแล้ว ก็จะเป็นอะไรที่คล้ายแบบเดิม เราน่าจะรับมือกับมันได้ อย่างคนแรกเราจะใหม่มากก็เลยต้องเตรียมตัวเยอะ