ด้านมืด ‘Britney Spears’ เจ้าหญิงแห่งวงการเพลงป็อป เล่าผ่านหนังสือเล่มแรก
เปิดเบื้องหลังชีวิตในวงการแสนเลวร้ายของ “Britney Spears” ศิลปินเจ้าของตำแหน่ง “เจ้าหญิงแห่งวงการเพลงป็อป” ทั้งปัญหาครอบครัว สุขภาพจิต และถูกจำกัดอิสรภาพ ที่เจ้าตัวออกมาเล่าให้โลกรู้ผ่านหนังสือเล่มแรก “The Woman in Me”
Key Points:
- “Britney Spears” (บริทนีย์ สเปียร์) คือ หนึ่งในศิลปินหญิงที่ประสบความสำเร็จระดับโลกตั้งแต่อายุยังน้อย จนได้รับฉายาว่า “เจ้าหญิงแห่งวงการเพลงป็อป”
- ในช่วงที่บริทนีย์กำลังโด่งดังถึงขีดสุด เธอกลับต้องเผชิญปัญหาชีวิตมากมาย ทั้งถูกอดีตแฟนขอให้ทำแท้ง มีปัญหาทางสุขภาพจิต เสียสิทธิ์การเลี้ยงดูลูก และถูกพ่อแท้ๆ จำกัดอิสรภาพ จนเกิดแฮชแท็ก #FreeBritney
- แม้ว่าตอนนี้บริทนีย์จะเป็นอิสระแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะกลับมาทำงานเพลงอีก แต่เธอก็ได้ออกมาเล่าประสบการณ์อันเลวร้ายที่เคยพบเจอผ่านหนังสือเล่มแรก “The Woman in Me”
ชื่อของ “Britney Spears” หรือ บริทนีย์ สเปียร์ โด่งดังไปทั่วโลกทั้งในฐานะดาราเด็กจากช่องดิสนีย์ และในฐานะศิลปินหญิงชื่อดัง “เจ้าหญิงแห่งวงการเพลงป็อป” (Princess of Pop) มานานหลายปีและยังไม่มีใครมาล้มแชมป์ได้
แต่เธอไม่ได้โด่งดังในฐานะศิลปินในวงการบันเทิงเท่านั้น เพราะเกือบตลอดช่วงชีวิตในวงการของเธอมักถูกนำเสนอภาพลักษณ์ในแง่ลบผ่านสื่อเสมอ จนทำให้บางคนมองว่าเธออาจจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีเท่าไรนัก
จนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาสังคมก็เริ่มมองเธอในแง่ดีขึ้น หลังเกิดแฮชแท็ก #FreeBritney ที่ทำให้โลกได้รับรู้ว่าเธอต้องเผชิญกับปัญหาด้านสุขภาพจิตอย่างหนัก จนต้องอยู่ในการดูแลของพ่อย่าง James Spears (เจมส์ สเปียร์) และนั่นทำให้ชีวิตของเธอแย่ลงกว่าเดิม เพราะเธอต้องสูญเสียอิสรภาพไปเป็นเวลา 13 ปี
แฟนคลับของบริทนีย์ บริเวณหน้าศาลในลอสแองเจลีส เมื่อปี 2021 (CTV News)
ล่าสุดบริทนีย์ทำให้โลกต้องทึ่งกับชีวิตในวงการบันเทิงของเธออีกครั้ง เมื่อเธอเปิดตัวหนังสือเล่มแรกในชีวิต “The Woman in Me” ที่ไม่ใช่การเล่าเรื่องราวชีวิตส่วนตัวทั่วไป แต่จะเรียกว่าเป็นการแฉด้านมืดของวงการบันเทิงที่เธอต้องเผชิญมาตลอดชีวิตก็ว่าได้
- “บริทนีย์ สเปียร์” จากเด็กหญิงดิสนีย์ สู่ศิลปินระดับโลก
ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินหญิงที่ประสบความสำเร็จระดับโลก บริทนีย์ สเปียร์ เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดา เกิดเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 1981 ในสหรัฐอเมริกา เธอชื่นชอบในการร้องเพลงและการเต้น เริ่มเข้าร่วมแสดงบนเวทีในงานของโรงเรียน และงานประกวดต่างๆ ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ก่อนจะเข้าร่วมออดิชันเพื่อแสดงในรายการ Mickey Mouse Club (มิคกี้เมาส์คลับ) รายการโทรทัศน์ชื่อดังของช่องดิสนีย์ตอนอายุ 8 ขวบ แต่ถูกปฏิเสธเนื่องจากเธอยังเด็กเกินไป
จนเมื่ออายุ 10 ขวบ เธอเข้าประกวดร้องเพลงในรายการ Star Search และกลับมาออดิชันรายการ Mickey Mouse Club ซึ่งครั้งนี้เธอได้รับคัดเลือกให้ร่วมแสดงตอนอายุได้ 11 ขวบ
บริทนีย์ สเปียร์ ในรายการ Star Search (Glamour)
บริทนีย์ สเปียร์ ในรายการ Mickey Mouse Club (People)
หลังจากนั้นแม้รายการจะปิดตัวลงแต่บริทนีย์ยังคงเดินตามความฝันต่อไป โดยการเซ็นสัญญากับค่าย Jive Records ในปี 1997 ตอนอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น และหลังจากนั้นชีวิตเธอก็เปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อผลงานเพลงอัลบั้มแรกของเธอ “Baby One More Time” ที่ถูกปล่อยออกมาในปี 1999 นั้น ติดอันดับ Billboard 200 นานถึง 6 สัปดาห์ ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลง 15 ประเทศทั่วโลก มียอดขายมากกว่า 1 ล้านแผ่นภายในปีเดียว ทำให้เธอกลายเป็นศิลปินวัยรุ่นที่มียอดขายมากที่สุดในตอนนั้น
ภาพจากมิวสิกวิดีโอ …Baby One More Time (Billboard)
ต่อมาอัลบั้มที่ 2 ของเธอ “Oops!…I Did It Again” ในปี 2000 ก็ติดอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงทั่วโลก โดยหลังจากนั้นเธอมีเพลงฮิตติดหูมากมายมาจนถึงปัจจุบัน เช่น Sometimes, Lucky, I'm a Slave 4 U, Toxic และ Everytime
โดยเฉพาะเพลง Everytime กลับมาเป็นประเด็นในโลกโซเชียลอีกครั้งหลังเธอออกมาพูดถึงการเปิดตัวหนังสือ The Woman in Me ว่าเนื้อหาในหนังสือเกี่ยวข้องกันคนในวงการบันเทิงมากมาย โดยเฉพาะ “Justin Timberlake” (จัสติน ทิมเบอร์เลก) อดีตแฟนหนุ่มของเธอ
- เมื่อ “เจ้าหญิงแห่งวงการเพลงป็อป” เผชิญมรสุมชีวิต สูญเสียอิสรภาพ
ในตอนที่บริทนีย์กำลังโด่งดังสุดขีดจนได้รับฉายาว่าเป็น “เจ้าหญิงแห่งวงการเพลงป็อป” ทุกอย่างในชีวิตกำลังไปได้สวย มีเพลงดังติดชาร์ตมากมาย ทัวร์คอนเสิร์ตไปหลายประเทศทั่วโลก มีคนรักที่เป็นหนุ่มบอยแบนด์สุดฮอตจากวง *NSYNC อย่างจัสติน ทิมเบอเลค ได้รับบทนำในภาพยนตร์ “Crossroads” และได้รับรางวัลสำคัญในวงการเพลงมากมาย จนหลายคนมองว่าเธอคือศิลปินหญิงที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย และมีชีวิตเหมือนกับเทพนิยาย
บริทนีย์ สเปียร์ และรางวัล Best Pop Video
ในงาน MTV Video Music Awards 2008 (The Sun)
แต่หลังจากนั้นก็มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อเธอต้องพบเจอกับมรสุมมากมายในชีวิต และในปี 2008 ศาลตัดสินให้เธอต้องอยู่ในการดูแลของเจมส์ผู้เป็นพ่อแท้ๆ รับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ดูแลเรื่องราวของเธอทุกอย่างไปจนถึงการจัดการทรัพย์สินส่วนตัว (Conservatorship) เนื่องจากเธอไม่สามารถดูแลตัวเองได้
เหตุการณ์ที่ทำให้เธอถูกตัดสินว่าต้องมีผู้พิทักษ์นั้น มาจากการที่อยู่ๆ เธอก็มีอาการคล้ายกับคนไม่มีสติ (สื่อนอกบางสื่อเรียกว่าเธอสติแตกหรือ Mental Breakdown) ลุกขึ้นมาโกนหัวตัวเอง คว้าร่มฟาดใส่รถของปาปาราสซี่ที่คอยตามถ่ายภาพเธอแบบไม่ยั้ง รวมถึงภาพหลุดของเธอในงานปาร์ตี้ต่างๆ ที่ออกมาก่อนหน้านี้ และเรื่องชีวิตคู่ที่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีเรื่องราวรักๆ เลิกๆ อยู่ตลอดเวลา รวมถึงต้องเสียสิทธิ์การเลี้ยงดูลูกชายทั้งสองคนให้กับอดีตสามี เควิน เฟเดอร์ไลน์ (Kevin Federline) จนสุดท้ายเธอต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจิตเวช
อ่านข่าว :
เจาะเบื้องลึก ทำไมถึงต้อง #FreeBritney
ทุกอย่างเหมือนกำลังจะกลับสู่ความปกติเมื่อเธอได้อยู่กับพ่อ แต่ต่อมาบริทนีย์กลับออกมาเปิดเผยว่า พ่อแท้ๆ ของเธอจำกัดอิสรภาพเธอทุกอย่าง และบังคับให้ทำงานอย่างหนักแม้ในตอนที่สภาพร่างกายเธอไม่พร้อม
นอกจากการที่ต้องพยายามสร้างผลงานออกมาตลอด ถูกจำกัดความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ตามที่ต้องการ เธอยังอ้างว่าถูกบังคับให้รับยาลิเธียม (Lithium) ซึ่งใช้รักษาอาการไบโพลาร์ โดยที่เธอไม่ต้องการ ซึ่งยาดังกล่าวทำให้เมา และสื่อสารไม่ค่อยรู้เรื่อง ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ออกมาจากปากของเธอผ่านการให้คำในชั้นศาลที่ลอสแองเจลีส
ที่น่าเศร้าที่สุดคือ เธอยอมรับว่าที่ผ่านมาเธอต้องโกหกคนทั้งโลกว่าเธออยู่ดีมีสุข เพราะรู้ว่าต่อให้บอกความจริงไปก็คงไม่มีใครเชื่อ แม้แต่ศาลเองก็ตาม เธอยังบอกอีกว่า “ฉันอยากได้ชีวิตของฉันคืนมา” ทำให้แฟนคลับและเพื่อนร่วมวงการต่างพากันติดแฮชแท็ก #FreeBritney เพื่อเรียกร้องให้เธอได้มีอิสระ
ในที่สุดในปี 2012 ศาลก็ตัดสินให้เจมส์ยุติบทบาทผู้พิทักษ์ของบริทนีย์ หญิงสาวได้ชีวิตของเธอคืน ทั้งการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ รวมถึงการจัดการทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมด
แม้ว่าบริทนีย์จะได้กลับมาใช้ชีวิตของเธอตามปกติแล้ว แต่ล่าสุดในปีนี้ (2023) ก็เกิดเรื่องช็อกวงการอีกครั้ง เมื่อเธออ้างว่าจัสตินอดีตแฟนหนุ่มของเธอทำให้เธอท้องและขอให้เธอทำแท้งเพราะยังไม่พร้อมจะเป็นพ่อคน
- จาก #FreeBritney สู่ “The Woman in Me”
โดยเธอได้เล่าเรื่องราวดังกล่าวผ่านหนังสือชีวประวัติของตนเองเกี่ยวกับชีวิตในช่วงเวลาต่างๆ ของเธอ โดยเฉพาะชีวิตในวงการบันเทิงที่ยาวนานถึง 20 ปี แต่สิ่งที่ทำให้แฟนคลับช็อกมากที่สุดก็คือ เธอเคยตั้งท้องในช่วงที่คบกับจัสติน และอ้างว่าถูกฝ่ายชายขอให้ทำแท้ง
จัสติน ทิมเบอร์เลก และ บริทนีย์ สเปียร์ สมัยยังคบกัน (ET Online)
รายงานจาก People ระบุว่า บริทนีย์เปิดเผยว่าหนังสือ “The Woman in Me” เป็นการแบ่งปันประสบการณ์ที่เจ็บปวดและเก็บเป็นความลับมาตลอดการใช้ชีวิตในวงการบันเทิง หนึ่งในนั้นก็คือประสบการณ์ “ทำแท้ง” โดยเธอเล่าว่าแม้ตอนที่รู้ตัวว่าท้องจะค่อนข้างตกใจ แต่ก็ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องเลวร้าย เพราะเธอรักจัสตินมาก (ในตอนนั้น) ทำให้คาดหวังเสมอว่าสักวันหนึ่งจะสร้างครอบครัวด้วยกัน
แต่การตั้งครรภ์ครั้งนี้กลับไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีขึ้น เมื่อฝ่ายชายไม่ต้องการให้เธอเก็บลูกไว้
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เลิกกันโดยมีข่าวลือตามมาว่าเธอนอกใจจัสติน ก่อนจัสตินจะเปิดปล่อยเพลง “Cry Me a River” ที่บริทนีย์ก็ได้เขียนถึงเพลงนี้ไว้ในหนังสือว่า จัสตินสร้างภาพให้เธอกลายเป็นหญิงแพศยาผ่านเนื้อเพลงและมิวสิกวิดีโอ รวมถึงเลือกใช้นักแสดงหญิงที่คล้ายกับเธอจากเพลง Baby One More Time ทำให้ในช่วงนั้นบริทนีย์ถูกโจมสื่อผ่านสื่ออย่างหนัก
เพลง Cry Me a River ของ จัสติน ทิมเบอร์เลก ที่ถูกอ้างถึง
แม้ล่าสุดจัสตินจะมีครอบครัวไปแล้ว และออกมาพูดเพียงสั้นๆ หลังถูกพาดพิงว่า อยากให้เธอปล่อยวางเรื่องราวในอดีตได้แล้ว ซึ่งบริทนีย์ก็บอกว่าเธอก้าวผ่านเรื่องนี้ไปได้นานแล้ว แต่แค่อยากออกมาแบ่งปันประสบการณ์อันเลวร้ายที่ครั้งหนึ่งเคยพบเจอมาเท่านั้น
สำหรับหนังสือ “The Woman in Me” กลายเป็นหนังสือที่มียอดสั่งซื้อล่วงหน้ามากที่สุดในโลก โดยมียอดรวมทั้งหมด 9 ล้านเล่ม แซงหน้าหนังสือ Spare ของเจ้าชายแฮร์รี (Prince Harry) ที่มียอดสั่งซื้อ 1.43 ล้านเล่ม (ข้อมูล ณ 19 ต.ค. 2023)
โดยบริทนีย์ทยอยปล่อยตัวอย่างหนังสือในรูปแบบวิดีโอออกมาเรื่อยๆ ผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวและเว็บไซต์ Britneybook ซึ่งรวบรวมเหตุการณ์และเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่ช่วงที่เข้าวงการแรกๆ จนถึงช่วงที่เธอมีปัญหากับชีวิต
หนังสือ The Woman in Me (Britneybook)
หลังแฟนคลับเห็นตัวอย่างหนังสือผ่านการโปรโมตก็มีหลายคนโยงไปถึงเพลง “Everytime” ของบริทนีย์ที่ปล่อยออกมาในช่วงหลังเลิกกับจัสติน ว่าอาจจะไม่ได้เป็นเพลงอกหัก แต่เป็นเพลงที่แต่งให้ลูกที่จากไป ทั้งภาพเด็กทารกที่อยู่ในมิวสิกวิดีโอและเนื้อร้องที่พยายามแสดงถึงความเสียใจและขอโทษ ทำให้แฟนคลับพากันเข้าไปให้กำลังใจในช่อง Youtube ของเธอเป็นจำนวนมาก
เพลง Everytime ที่แฟนคลับกลับมาการตีความใหม่หลังการเปิดตัวหนังสือ
นอกจากนี้ยังมีเพลง “Lucky” ที่เล่าถึงดาราเด็กที่กลายเป็นซูเปอร์สตาร์มีทุกอย่างที่ต้องการในชีวิต แต่กลับต้องอยู่กับความว่างเปล่า โดยแฟนคลับบางคนออกความเห็นว่าแม้บริทนีย์จะไม่ได้แต่งเพลงนี้เอง แต่กลับเป็นเพลงที่เสมือนเป็นภาพแทนของเธอ
เพลง Lucky ที่ปล่อยออกมาตั้งแต่ปี 2000
สุดท้ายนี้แม้ว่าจะยังไม่มีความชัดเจนว่าเจ้าหญิงแห่งวงการเพลงป็อป “Britney Spears” จะหวนคืนวงการเพลงหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้เธอเคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่อยากกลับมาร้องเพลงแล้ว แต่เธอก็ได้ทำให้โลกได้เห็นว่าชื่อเสียงและความโด่งดังระดับโลกที่เธอได้มา ก็ต้องแลกด้วยอะไรที่มีค่ามากกว่าชีวิตส่วนตัวของตัวเองด้วยซ้ำ
โดยในช่วงท้ายของหนังสือ บริทนีย์ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า “If you stood up for me when I couldn’t stand up for myself, from the bottom of my heart, thank you.” ที่แปลว่า ขอขอบคุณแฟนคลับทุกคนจากใจจริง ที่ยืนหยัดเพื่อฉัน ในวันที่ฉันยืนด้วยตัวไม่ได้
อ้างอิงข้อมูล : People (1), People (2), Billboard, Variety, The Guardian, Vulture และ Britneybook