‘Shogun โมเดล’ การตีตลาดโลกของญี่ปุ่นผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิง

‘Shogun โมเดล’ การตีตลาดโลกของญี่ปุ่นผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิง

ญี่ปุ่นคาดหวังใช้ ‘Shogun โมเดล’ เป็นแบบอย่างปลุกปั้นให้ซีรีส์แนวยากูซ่าเรื่อง Like A Dragon: Yakuza ประสบความสำเร็จบนแพลตฟอร์มสตรีมมิงระดับโลกเช่นเดียวกัน

ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาผู้ที่เป็นสมาชิกแพลตฟอร์มสตรีมมิงต่าง ๆ อาจสังเกตเห็นว่าเริ่มมีคอนเทนต์จากประเทศญี่ปุ่นได้รับความนิยมระดับโลกมากขึ้น แต่ก็ถือว่ายังมีจำนวนน้อยอยู่ดี เช่น ซีรีส์ Alice In Borderland การ์ตูนแอนิเมชั่น One Piece หรือรายการเรียลลิตี้ Terrace House ทาง Netflix

แต่ความสำเร็จระดับปรากฏการณ์ครั้งล่าสุดจาก Shogun ที่สามารถแซงหน้าภาคต่อของซีรีส์คุณภาพอย่าง The Bear Season 2 ไปได้ด้วยยอดรับชม 9 ล้านวิวทั่วโลกผ่านแพลตฟอร์ม Hulu, Disney+ และ Star+ ในช่วง 6 วันแรกที่ออกอากาศ ได้ทำให้คนในวงการบันเทิงญี่ปุ่นเริ่มหันมาพิจารณาว่า สมควรที่จะนำ ‘Shogun โมเดล’ มาปรับใช้กับผลงานเรื่องอื่นหรือไม่ เพื่อผลักดันคอนเทนต์ของประเทศตัวเองให้มีที่ทางในตลาดโลกมากขึ้น

 

‘Shogun โมเดล’ การตีตลาดโลกของญี่ปุ่นผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิง

โดย ‘Shogun โมเดล’ ที่ว่าหมายถึง การให้สตูดิโอต่างชาติเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์เกี่ยวกับญี่ปุ่นที่นำแสดงโดยนักแสดงชาวญี่ปุ่น พูดภาษาญี่ปุ่น แล้วนำออกฉายบนแพลตฟอร์มสตรีมมิงระดับโลก

เช่น Shogun ที่สร้างโดย FX ช่องเพย์ทีวีอเมริกันในเครือ Disney Entertainment นำแสดงโดย ฮิโรยูกิ ซานาดะ, อันนา ซาวาอิ, ทาดะโนบุ อาซาโนะ, ฮิโรโตะ คานาอิ ฯลฯ ตัวละครพูดภาษาญี่ปุ่นทั้งเรื่อง ออกฉายทาง Hulu, Disney+ และ Star+

 

สำหรับผู้เสนอแนะให้นำ ‘Shogun โมเดล’ มาใช้คือหนึ่งในนักแสดงซีรีส์เรื่อง Like A Dragon: Yakuza ที่มีกำหนดเข้าฉายทาง Amazon Prime ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ (สำหรับในบ้านเราต้องรอรายละเอียดจากทาง Prime Video อีกที)

 

‘Shogun โมเดล’ การตีตลาดโลกของญี่ปุ่นผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิง

 

Like A Dragon: Yakuza เป็นซีรีส์แนว crime-thriller ที่สตูดิโออเมริกันเป็นผู้สร้างจากเกมฮิตของ Sega มีเนื้อหาเกี่ยวกับกลุ่มเพื่อนวัยเด็กที่ถูกดึงเข้าสู่แก๊งยากูซ่าในกรุงโตเกียวด้วยหนทางที่ต่างกัน นำแสดงโดย เรียวมะ คาเคะอุจิ, เคนโตะ คาคุ

 

 

Like A Dragon: Yakuza เพิ่งมีการเปิดตัวในงาน Comic-Con ที่ซานดิเอโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ไปเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ (27-28 ก.ค.) ที่ผ่านมา โดย เคนโตะ คาคุ หนึ่งในนักแสดง ได้กล่าวเอาไว้ในงานเปิดตัวว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ญี่ปุ่นควรจะ “เกาะกระแสความสำเร็จของ Shogun” ด้วยการทำให้โชว์ต่าง ๆ ของญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในระดับโลกมากขึ้น

 

“เราต้องเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกให้ได้” นักแสดงวัย 35 ปี กล่าว

 

‘Shogun โมเดล’ การตีตลาดโลกของญี่ปุ่นผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิง ‘Shogun โมเดล’ การตีตลาดโลกของญี่ปุ่นผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิง

 

Like A Dragon: Yakuza เป็นผลงานเรื่องล่าสุดที่สร้างจากวีดิโอเกมตามรอยซีรีส์ The Last of Us ทาง HBO และ Fallout ทาง Prime Video ขณะที่หนังสร้างจากวีดิโอเกมชื่อดังและเป็นตำนานของญี่ปุ่นอย่าง Mario ของค่าย Nintendo และ Sonic จากค่าย Sega ก็ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม

 

แต่ถ้าพูดถึงคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับยากูซ่าในแพลตฟอร์มสตรีมมิงระดับโลก ล่าสุดก็เพิ่งมี Tokyo Vice ทาง HBO ที่พูดถึงโลกของแก๊งยากูซาออกฉายไป และแอนิเมชั่นเรื่อง Blue Eye Samurai ที่มีผู้ชมติดอันดับท็อปเทนของโลกทาง Netflix

 

รักษารากเหง้าความเป็นญี่ปุ่นเอาไว้

อีริค บาร์แม็ค ผู้อำนวยการสร้างซีรีส์ Like A Dragon ให้ความเห็นว่าสาเหตุที่ผลงานก่อนหน้านี้ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนหนึ่งมาจากการนำเอาคอนเทนต์ญี่ปุ่นไปฮอลลีวู้ดแล้วกำจัดเอาบริบทที่เป็นญี่ปุ่นออกไป

 

“สำหรับคอเกม พวกเขาจะได้กลิ่นอะไรที่มันไม่ถูกต้องได้เร็วเป็นพิเศษ” บาร์แม็คให้สัมภาษณ์เอเอฟพีเอาไว้ถึงเหตุผลที่เขาอยากให้ “รักษารากเหง้าความเป็นญี่ปุ่น” เอาไว้ให้มากที่สุดในซีรีส์เรื่องนี้

 

ขณะที่ เจมส์ ฟาร์เรลล์ รองประธาน Amazon MGM Studios ฝ่าย International Originals พูดถึงกรณีที่ Like A Dragon ไม่ใช้ภาษาอังกฤษว่าไม่ใช่ปัญหาเลย

 

“มีกระแสความสนใจ และความรักญี่ปุ่นอยู่ทั่วโลก เกมนี้ได้รับความนิยมนอกญี่ปุ่นก็เพราะว่ามันมีความเป็นญี่ปุ่นนี่แหละ” บาร์แม็คกล่าวเสริม

 

‘Shogun โมเดล’ การตีตลาดโลกของญี่ปุ่นผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิง ‘Shogun โมเดล’ การตีตลาดโลกของญี่ปุ่นผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิง

 

นั่นเป็นกลยุทธ์เดียวกับ Shogun ที่สร้างโดย FX ในเครือดิสนีย์ ซีรีส์เรื่องนี้ถ่ายทำในประเทศแคนาดา แต่กลับถ่ายทอดการต่อสู้ทางการเมืองอันเข้มข้นดุเดือด ภายใต้การปกครองระบอบโชกุนของญี่ปุ่นในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ออกมาได้อย่างสมบูรณ์

 

นอกเหนือจากยอดวิวแล้ว Shogun ยังได้เข้าชิงรางวัลเอ็มมี่มากที่สุดในปีนี้ถึง 25 สาขา ถือเป็นซีรีส์ที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเรื่องที่ 2 เท่านั้นในประวัติศาสตร์ Emmy ที่ได้เข้าชิงสาขา Best Drama แถมยังมีโอกาสค่อนข้างมากที่จะคว้ารางวัลไปครองด้วย

 

มาร่วมลุ้นกันว่า Shogun จะสร้างประวัติศาสตร์คว้ารางวัล Emmy ไปครอง พร้อมช่วยปลุกกระแส Japan Wave ให้ฟื้นคืนในตลาดโลกได้หรือไม่