‘จิรพรรณ อังศวานนท์’ กับ ‘ความหลง ที่ไม่ลืม’
ผลงานการเขียนบันทึกเรื่องราวชีวิตของ นักแต่งเพลง นักดนตรีชื่อดังของประเทศไทย ‘จิรพรรณ อังศวานนท์’ กับหนังสือที่มีชื่อว่า ‘ความหลง ที่ไม่ลืม’
ความหลง ที่ไม่ลืม เป็นหนังสือที่ จิรพรรณ อังศวานนท์ เขียนเอง ใช้เวลาประมาณหนึ่งปี เล่าเรื่องราวชีวิตและความฝันเกี่ยวกับดนตรี โดย สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น
จิรพรรณ อังศวานนท์ เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งและสมาชิกรุ่นแรกของวง บัตเตอร์ฟลาย วงดนตรีชั้นนำของเมืองไทย ที่มีผลงานเพลงไพเราะมากมาย เช่น ความรัก, เวลาในขวดแก้ว, ดีใจที่มีเธอ, เติมใจให้กัน, พายุ, ก็มันเป็นอย่างนั้น, บ้านเรา, เรารักกรุงเทพฯ, ขอมอบบทเพลง, เพราะเรานั้นคู่กัน ฯลฯ
จิรพรรณ ให้สัมภาษณ์กับ กรุงเทพธุรกิจ ว่า หนังสือเล่มนี้เป็นประวัติของเขาเอง
"เล่าผ่านวงการดนตรีตั้งแต่นักเรียน มาถึงเข้าวงดนตรีตั้งแต่เมื่อไร แล้วไปเกี่ยวพันกับวงการดนตรีประเภทไหนบ้าง เป็นกึ่ง ๆ เบื้องหลังของผม
Cr. Kanok Shokjaratkul
ผมเขียนเองทั้งหมด ใช้เวลาทำประมาณหนึ่งปี วัตถุประสงค์ เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับคนรุ่นหลัง สำหรับการตัดสินใจในชีวิต
ก่อนที่ผมจะตัดสินใจมาเป็นนักดนตรี มันผ่านมาเยอะมาก สมัยผมยังไม่ยอมรับอาชีพนักดนตรี ก็ต้องมีการต่อสู้และเกิดความสับสน กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ก็ล้มลุกคลุกคลาน แล้วผมก็ไม่ได้เรียนด้านดนตรีมา ผมเรียนจบกฎหมาย ต้องมาศึกษาเอาเอง
Cr. Kanok Shokjaratkul
ความจริงเรารักดนตรี แต่ไม่ได้ทุ่มเทให้กับดนตรีตั้งแต่ต้น เพราะเราไม่มีโอกาส แล้วมีความคิดที่ไม่ชัดเจน ทำให้เสียเวลามาก
หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้มองเห็นตัวเอง ค้นหาตัวเองได้ง่ายขึ้น ชัดเจนขึ้น คนที่มีความสับสน หรือไม่สับสน อ่านแล้วจะทราบถึงประวัติความเป็นมาของดนตรีที่อาจจะเป็นประโยชน์"
Cr. Kanok Shokjaratkul
- มองตัวเองให้ชัด รักในสิ่งใด มุ่งตรงไปในสิ่งนั้น
สิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตของ จิรพรรณ คือ กีตาร์ แต่ทว่า ไม่ได้โฟกัสกับมันมาตั้งแต่ต้น
"ส่วนหนึ่งมาจากทัศนคติ ค่านิยม ในยุคนั้นว่า อย่าไปเล่นดนตรี อย่าไปยุ่งกับดนตรี เต้นกินรำกิน ไม่มีเกียรติ ทำให้ไม่กล้าตัดสินใจตามที่ใจเราบอกให้ทำ หรือเราอยากจะทำ
ชีวิตผมผ่านมา 6 รอบกว่า ๆ เป็นชีวิตที่ไม่ได้เลือก คือ ไม่ว่าเราเลือกอะไร อยากจะทำอะไร มันไม่เคยได้ทำ เป็นชีวิตที่เราตามมาตลอด จากความรักในกีตาร์
Cr. Kanok Shokjaratkul
ดนตรี พาเรามาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้ หลาย ๆ ครั้งที่เราเข้าไปทำงาน เราไม่ได้ตัดสินใจ แต่เราก็มานั่งอยู่ตรงนี้ หรืออยู่ดี ๆ ก็ได้ทำตรงโน้น หลาย ๆ อย่าง หลาย ๆ เรื่อง เลยทีเดียว
ช่วงที่วุ่นวายที่สุดในชีวิต คือ ช่วงที่อยู่มหาวิทยาลัย ผมตัดสินใจเลิกเล่นดนตรีแล้ว ไม่เล่น ไม่เอาแล้ว คะแนนไม่ดี เลิกเล่น เลิกคบเพื่อนเกี่ยวกับดนตรี ตั้งใจเรียน จนได้เหรียญทองสองปีซ้อน
พอปี 3 ได้มาเจอกับพวกอัจฉริยะ ที่สโมสร ในมหาวิทยาลัย เราคุยกัน เราเล่นกีตาร์กัน ร้องเพลงกัน รู้จักกันวันแรกเขาชวนผมไปค้างที่บ้าน เราก็ไปเลย เล่นดนตรีแล้วมันสนุก เราเล่นดนตรีกันทั้งคืนเลย
จากนั้นก็เจอกันทุกวัน 2 ปี แล้วเจอน้อยลงเพราะทยอยจบ เรามีรถโฟล์คตู้หนึ่งคัน มีทุกอย่างในนั้น จากที่เคยเป็นฮิปปี้ เพลย์บอย ฟู่ฟ่า แต่งตัวเท่ จีบผู้หญิง ก็กลายเป็นคนง่าย ๆ ใส่เสื้อยืด สะพายย่าม มีแปรงสีฟันหนึ่งอัน พร้อมไปที่ไหนก็ได้ เป็นชีวิตที่ตื่นเต้นดี
หลังจบจากธรรมศาสตร์ ก็มาทำงานเป็นจริงเป็นจัง มีอาชีพเป็นนักแต่งเพลง หาเช้ากินค่ำ กับดนตรี อย่างเดียว ไม่เคยคิดจะทำอย่างอื่น
ทำงานกับวงบัตเตอร์ฟลาย (Butterfly) 15 ปี แล้วออกมาทำเอง ระหกระเหินไปที่โน่นที่นี่
ชีวิตที่ไม่ได้เดินเป็นเส้นตรง เป๋ไปเป๋มา ไปทางโน้นทีทางนี้ที พยายามลากตัวเองออกมาให้พ้นจากความหลง มาสู่ทิศทางที่ควรจะเป็น
ครั้งหนึ่งเคยปรับตัวเป็นนักธุรกิจ แต่ไปไม่ได้ เพราะเราเป็นนักธุรกิจที่ไม่มีเป้าเป็นเงิน เรามีเป้าเป็นเรื่องศิลปะ เรื่องความสำเร็จ หลาย ๆ ครั้งมันก็ขาดทุน ก็กลับมาที่ กีตาร์ สิ่งที่เป็นตัวของเรามากที่สุด ตอนนี้ก็มีความสุขดี แต่ว่าจนสนิท
ผมแต่งเพลงเพลงหนึ่ง เป็นเพลงที่ผมทำได้ดีที่สุด และคิดว่าไม่สามารถทำอะไรได้ดีกว่านี้อีกแล้ว
ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ต้องไปอ่านในหนังสือ มีพูดถึงเรื่องนี้ว่า ในเพลงนี้ แต่ละบรรทัดมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ชื่อเพลงว่า ความรัก
รักคือคำคำนี้ รักคือความอดทนทุกอย่าง จริงใจให้กัน... ดั่งดวงตะวัน ที่ยังยั่งยืนคู่ฟ้า...."