‘ยูเนสโก’ ขึ้นทะเบียน ‘เคบายา’ เป็น ‘มรดกวัฒนธรรม’ ร่วม 5 ประเทศ ประจำปี 67
กระทรวงวัฒนธรรม ประกาศข่าวดี 'ยูเนสโก' รับรอง ‘เคบายา’ ขึ้นทะเบียนเป็น ‘มรดกวัฒนธรรม’ ร่วม 5 ประเทศ บรูไน, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ไทย ประจำปี 2567
องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเพื่อการสงวนรักษา มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19 (The nineteenth session of the Intergovernmental Committee for the Safeguarding of the Intangible Cultural Heritage: IGC-ICH) วันที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลา 11.40 น. (เวลาท้องถิ่น) ณ สาธารณรัฐปารากวัย ตรงกับวันที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลา 20.40 น. (เวลาประเทศไทย)
สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวถึงผลการประชุมว่า ยูเนสโก มีมติรับรองให้ Kebaya : knowledge, skills, tradition and practices หรือ เคบายา : ความรู้ ทักษะ ประเพณี และการปฏิบัติ ที่มีการเสนอร่วม 5 ประเทศ คือ บรูไน, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ไทย
"ขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทน มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity: RL) ประจำปี 2567
เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ เคบายา เครื่องแต่งกายอันสง่างามของทางใต้ ได้รับการขึ้นทะเบียนในปีเดียวกันต่อจาก ต้มยำกุ้ง นับเป็นรายการมรดกวัฒนธรรมฯ ลำดับที่ 6 ของประเทศไทย ต่อจาก โขน, นวดไทย, โนรา, สงกรานต์, ต้มยำกุ้ง
การเสนอ เคบายา เป็นรายการมรดกวัฒนธรรมร่วม 5 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน เกิดจากแนวคิดของประเทศมาเลเซีย ได้มีการประสานงานเมื่อต้นปี พ.ศ. 2565 กับประเทศบรูไน, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, ไทย ให้เข้ามามีส่วนร่วมจัดทำเอกสารขอขึ้นทะเบียน โดยได้รับความยินยอมจากชุมชนที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งชุมชนผู้ปฏิบัติและผู้แทนจากประเทศผู้เสนอรายการทั้ง 5 ประเทศ ได้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ ครั้งที่ 1 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ณ พอร์ตดิกสัน รัฐเนกรีเซมบีลัน ประเทศมาเลเซีย โดยได้แลกเปลี่ยนและเสนอมาตรการส่งเสริมและรักษา จัดทำและสนับสนุนข้อมูลตามเอกสารแบบฟอร์มขอขึ้นทะเบียน
.
หลังจากนั้นมีการประชุมเชิงปฏิบัติการ ครั้งที่ 2 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ณ กรุงจาร์กาตา ประเทศอินโดนีเซีย และการประชุมออนไลน์ โดยประเทศสิงคโปร์เป็นเจ้าภาพ เพื่อร่วมกันจัดทำเอกสารขอขึ้นทะเบียนให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนยื่นเสนอต่อยูเนสโกในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 เพื่อเข้าวาระการพิจารณาปี 2567
เคบายา เป็นเสื้อผ่าหน้า มีลักษณะเด่น ประดับด้วยงานปักและลูกไม้ที่ประณีต สวมด้วยตัวยึด สามารถสวมใส่คู่กับโสร่งหรือผ้าท่อนล่างที่เข้าชุดกัน เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกายในชีวิตประจำวัน ในโอกาสทั่วไป โอกาสที่เป็นทางการและงานเทศกาลต่าง ๆ
ความรู้ ทักษะ ประเพณีและการปฏิบัติเกี่ยวกับเคบายา มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้หญิงทุกวัย ทุกพื้นที่ ทุกศาสนาจากชุมชนต่าง ๆ ในหลายประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศบรูไน, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และภาคใต้ของประเทศไทย
เคบายา สะท้อนประวัติศาสตร์และประเพณีที่มีร่วมกันของภูมิภาค ตลอดจนความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีส่วนสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น การศึกษาที่มีคุณภาพ, ความเสมอภาคทางเพศ, การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างครอบคลุม รวมทั้งสันติภาพและความสมานฉันท์ในสังคม
เคบายา ยังเชื่อมโยงวัฒนธรรมและชุมชนที่หลากหลายเข้าด้วยกัน ส่งเสริมความเคารพซึ่งกันและกัน มีส่วนช่วยให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านต่าง ๆ
คณะกรรมการฯ พิจารณาของยูเนสโก ยังได้ชมเชยรัฐภาคีในการจัดเตรียมเอกสารและวิดีโอนำเสนอมาอย่างดี ถือเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการเสนอรายการมรดกร่วม สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ในการสร้างสันติภาพและความเคารพซึ่งกันและกันระหว่างชุมชน กลุ่มคน และปัจเจกบุคคลจากแต่ละรัฐภาคี
การขึ้นทะเบียนมรดกร่วมครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากความภาคภูมิใจแล้ว ยังนำมาซึ่งความสามัคคี ความรับผิดชอบร่วมกัน และความมุ่งมั่นร่วมมือส่งเสริมและรักษามรดกวัฒนธรรมในระดับภูมิภาค
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จทางประวัติศาสตร์นี้ ประเทศผู้เสนอรายการทั้ง 5 ประเทศ ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมคู่ขนาน ได้แก่ นิทรรศการและการแสดงแฟชั่นชุด เคบายา ในช่วงระหว่างการประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลฯ ครั้งที่ 19 นี้ ณ นครอซุนซิออน สาธารณัฐปารากวัย อีกด้วย
เป็นการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับมรดกร่วมและความเกี่ยวข้องกับสังคมร่วมสมัยให้กับประชาชนทั่วไป เป็นโอกาสให้เกิดการสนทนาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมต่าง ๆ ร่วมกันส่งเสริม รักษาและสืบทอด เคบายา ให้กับคนรุ่นใหม่ต่อไป
กระทรวงวัฒนธรรม มีแผนส่งเสริมและต่อยอดมรดกวัฒนธรรม หลังจากยูเนสโก ขึ้นทะเบียน ต้มยำกุ้ง - เคบายา แล้ว ด้วยการขับเคลื่อน Soft power ด้านอาหาร และ ด้านแฟชั่น ตามนโยบายของรัฐบาล
โดยจะนำเศรษฐกิจทางวัฒนธรรม กระตุ้นให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทั้งในระดับชุมชนและระดับประเทศ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมภาพยนตร์, ละคร, เกม, รายการโทรทัศน์, สื่อออนไลน์ ให้สอดแทรกเนื้อหา ต้มยำกุ้ง เพื่อสร้างกระแสความนิยมในวงกว้าง
และบูรณาการกับภาคธุรกิจ-การท่องเที่ยว นำ ต้มยำกุ้ง เป็นเมนูหลัก เมนูอาหารต้องชิม เมื่อมาเที่ยวเมืองไทย บรรจุลงในโปรแกรมการท่องเที่ยว และเป็นเมนูอาหารที่ต้องระบุไว้ในรายการอาหารขึ้นโต๊ะผู้นำ รวมทั้งผู้เข้าร่วมในการประชุมที่จัดในประเทศไทย หรือที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
เชิญชวนให้ผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวและการบริการ เช่น โรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร ร่วมจัดแคมเปญส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นยอดขายเมนูต้มยำกุ้ง รวมถึงยอดขายวัตถุดิบต่าง ๆ สร้างการรับรู้ถึงคุณค่าและสาระของเมนูต้มยำกุ้งไปสู่ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ
ในส่วนภาคชุมชน ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน โดยมุ่งเน้นบูรณาการร่วมกับหอการค้า สมาคม ชุมชน เครือข่ายในพื้นที่ ที่มีวัฒนธรรมการแต่งกายเคบายา ร่วมจัดแคมเปญพิเศษส่งเสริมการขาย เชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติสวมใส่ ชุดเคบายา ถ่ายรูปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อสร้างสีสัน ส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ของชุมชน
.
ในโอกาสที่น่ายินดีนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงขอเชิญพี่น้องประชาชนร่วมกิจกรรม งานฉลองต้มยำกุ้งและเคบายา มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ระหว่างที่ 6-8 ธันวาคม 2567 ณ Quartier Avenue ชั้น G ศูนย์การค้า เอ็มควอเทียร์ เวลา 10.00-21.00 น.
*วันที่ 6 ธันวาคม เวลา 18.00 น. จะมีพิธีเปิดงานโดย สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม อย่างเป็นทางการ มีการสาธิตการทำต้มยำกุ้งพร้อมให้ชิมฟรี โดย เชฟตุ๊กตา (ครัวบ้านยี่สาร) เชฟกระทะเหล็ก
.
วันที่ 7-8 ธันวาคม ปรุงต้มยำกุ้งโดย เชฟเมย์ พัทรนันท์ ธงทอง เชฟกระทะเหล็ก พร้อมให้ชิมต้มยำกุ้งฟรี มีการแสดงแฟชั่นโชว์ชุดเคบายา โดยนางสาวไทยและรองนางสาวไทย และร่วมชมนิทรรศการ ต้มยำกุ้ง นิทรรศการและสาธิตการปักชุด-เครื่องประดับ เคบายา และอาหารเปอรานากัน จากจังหวัดภูเก็ต, พังงา, ระนอง, กระบี่, ตรัง, สตูล
อิ่มอร่อยกับอาหารที่ขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติแล้ว 20 รายการ เพลิดเพลินกับการแสดงดนตรี การแสดงทางวัฒนธรรมตลอดงาน
รายละเอียดดูได้ที่ www.culture.go.th และเฟซบุ๊กกรมส่งเสริมวัฒนธรรม