“เที่ยวเกาหลี” สองเมืองเลื่องชื่อศิลปะสองยุค “ยอซู - ควางจู”
“เที่ยวเกาหลี” ผ่านงานศิลป์ทั้งยุคใหม่สุดล้ำบนอาณาจักรที่เคยจัด Expo ระดับโลก และยุคเก่าที่ยังบอกเล่าคุณค่าของศิลปะประจำชาติ “เกาหลีใต้” มาได้จนถึงวันนี้ ณ เมือง “ยอซู” กับ “ควางจู”
ศิลปะคือเครื่องยืนยันถึงอารยธรรมของชนชาตินั้นๆ สำหรับ ประเทศเกาหลีใต้ ศิลปะได้หยั่งรากลึกมาตั้งแต่สมัยโบราณ กระทั่งปัจจุบัน ศิลปะยังคงรับใช้จิตวิญญาณของชาวเกาหลี ไม่ว่าจะศิลปะดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาหรือเป็นศิลปะสมัยใหม่ก็ตาม
"ยอซู" เมืองชายทะเลที่เท่อย่าบอกใคร
ที่เมือง ยอซู จังหวัดชอลลาใต้ ประเทศเกาหลีใต้ เคยมีผู้คนจากนานาประเทศหลั่งไหลกันเข้ามา เพราะในปี 2012 เมืองยอซู เป็นสถานที่จัดนิทรรศการนานาชาติ จากเมืองเล็กๆ ชายทะเล จึงคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว นักธุรกิจ และคนเกาหลีเองก็ได้มีโอกาสรู้จักเมืองนี้ไปพร้อมๆ กับคนทั่วโลก เพราะเดิมทีเมืองยอซูเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองชายทะเลเงียบสงบ หาได้เป็นเมืองท่องเที่ยวสุดแมสแต่อย่างใด
หลังจาก “เมืองยอซู” ได้ Grand Opening ในครั้งนั้น สิ่งปลูกสร้างต่างๆ สถาปัตยกรรมมากมาย ยังรับใช้เมืองนี้ต่อมาด้วยสถานะแหล่งท่องเที่ยวและศูนย์จัดแสดงสินค้าและนิทรรศการซึ่งยังดึงดูดให้คนเดินทางมาสัมผัสเมืองนี้ได้
สถาปัตยกรรมที่เสมือนแลนด์มาร์คของ “เมืองยอซู” ไปแล้ว คือ Big-O สถาปัตยกรรมที่ทำจากเหล็กขนาดมหึมา เคยทำหน้าที่เป็นจุดแสดงแสงเสียงและน้ำพุเมื่อครั้งที่จัดนิทรรศการนานาชาติ แต่ถึงจะผ่านเวลามานับ 10 ปี Big-O ยังใช้งานได้ ยังมีการแสดงแสงเสียง
สถานที่ตั้งของ "Big-O" คือ อุทยานยอซู เอ็กซ์โปโอเชียนพาร์ค ที่นอกจากจะมีแลนด์มาร์คดังกล่าว ยังเป็นเสมือนอาณาจักรของศูนย์ประชุมที่เรียงรายหลายอาคาร โดยไฮไลท์ของอาคารที่ปรับเปลี่ยนมาเป็นศูนย์ประชุมครบวงจร บางส่วนถูกปรับเป็น Arte Museum Yeosu อาคารจัดแสดงนิทรรศการศิลปะสุดล้ำ
ที่ว่าสุดล้ำเพราะที่ "Arte Museum Yeosu" เป็นที่จัดนิทรรศการศิลปะในรูปแบบ มีเดียอาร์ท ใช้มัลติมีเดียประกอบกับศิลปะจนเกิดเป็นผลงานสุดสร้างสรรค์และสุดว้าว การสร้างสรรค์มีเดียอาร์ทผ่าน Arte Museum Yeosu นับเป็นแห่งที่ 2 ของเกาหลีใต้ เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมือง 1 สิงหาคม 2564 โดยที่แห่งแรกคือที่เกาะเจจู
ธีมหลักของ "Arte Museum Yeosu" ล้วนบอกเล่าเรื่องราวของท้องทะเลซึ่งเป็นหัวใจของเมืองยอซู และพื้นที่ธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ผ่านผลงานจำนวน 12 ชิ้น บนพื้นที่กว่า 4.600 ตารางเมตร
จุดแรกที่คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวแล้วพาเข้าสู่ดินแดนใต้บาดาล คือน้ำตกขนาดยักษ์ที่ไม่ได้มีเพียงสายน้ำ แต่เป็นเม็ดทรายจำนวนมหาศาลที่เปล่งประกายระยับร่วงลงมา เป็นผลงานมีเดียอาร์ทสุดอลังการที่งดงามมาก
ต่อด้วยดอกวิสทีเรียหลากสีสันที่มาโอบล้อม ขณะที่ปรับเปลี่ยนสีมีฝูงผีเสื้อมาบินดอมดม ราวกับกำลังอยู่ท่ามกลางดอกวิสทีเรียจริงๆ ผลงานชิ้นเต็มไปด้วยสีสันของดอกไม้อันจัดจ้าน เมื่อยืนไปเป็นองค์ประกอบหนึ่งของผลงาน เราจะได้เป็นส่วนหนึ่งของศิลปะชิ้นนี้
ถัดไปคือชายหาดที่มีฟ้าสลับสีอยู่เบื้องหลัง บางเวลาเราจะได้เห็นแสงเหนือโดยไม่ต้องเดินทางไปที่ไหน หรือถ้าอยากนั่งมองดูเกลียวคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งก็ให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ริมทะเลยอซูจริงๆ แล้วไม่ได้มีแค่คลื่นเบาๆ ชิลๆ แต่ยังมีห้องคลื่นยักษ์ที่ซัดสาดอย่างรุนแรง เพียงยืนดูก็ระทึกใจแล้ว
หลังจากนั้นไปผ่อนคลายกับฝูงนกฟลามิงโกที่เดินเล่นผ่านไปมาในแฟนตาซีลากูนสีชมพู เมื่อมองไปทั้งสองฝั่งของห้องถูกรายล้อมด้วยฝูงนก เป็นผลงานศิลปะที่มีสีสัน และมีมูฟเมนต์ที่น่าสนใจทีเดียว
ส่วนห้องต่อมาคือห้องที่ไม่มีใครไม่โพสต์ท่าถ่ายรูปคู่กับบรรดาโคมกระดาษซึ่งแขวนอยู่อยู่เต็มห้องกระจก มีลูกเล่นคือแสงสีที่สาดใส่โคมหลายร้อยใบ บรรยากาศจะเปลี่ยนไปตามแสงสีนั้นๆ แม้เป็นเพียงโคมกับแสงแต่กลับเป็นผลงานตระการตามากๆ
ไปต่อกันที่ผลงานศิลปะกระต่ายบนดวงจันทร์ตัวโตที่ยืนรอให้ทุกคนไปชมความน่ารัก แล้วไปมีส่วนร่วมสร้างสรรค์ผลงานศิลปะของตัวเองด้วยการระบายสีสัตว์ทะเล พาเจ้ากุ้งหอยปูปลาเหล่านั้นขึ้นไปแหวกว่ายอยู่ในโลกใต้ทะเลบนจอขนาดใหญ่ สนุกตรงที่เราจะได้เห็นผลงานที่เพิ่งระบายสีเสร็จเมื่อสักครู่ไปมีชีวิตอยู่ในนั้นด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย
แล้วไปปิดท้ายด้วยความเล่นใหญ่รัชดาลัยกับห้อง Garden-Light of Masterpieces โถงขนาดใหญ่ที่ฉายภาพศิลปะจากปลายพู่กันของศิลปินมีชื่อระดับโลกสลับสับเปลี่ยนไปตามช่วงเวลา เหมือนได้หลุดไปในโลกจินตนาการซึ่งศิลปินได้รังสรรค์เอาไว้
นอกจากผลงานศิลปะยุคใหม่สุดคูล ที่ “เมืองยอซู” ยังมี เกาะโอดง เกาะเล็กๆ ที่ถ้ามองออกไปจะเห็นด้วยสายตา แต่ถ้าจะไปก็เพียงข้ามสะพานเชื่อมที่ทอดยาวไปยังเกาะนี้ ที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของทั้งผู้คนที่อาศัยอยู่ และนักท่องเที่ยวที่มาเยือน โดยเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมห้วงเวลาที่ดอกคาเมเลียสีแดงสดจะพร้อมใจกันบานทั่วทั้งเกาะ
"ควางจู" เมืองคูลๆ ที่มีวัฒนธรรมแข็งแรง
จากเมืองเล็กๆ สู่เมืองใหญ่อันดับ 6 ของเกาหลีใต้ ควางจู ไม่ได้มีดีแค่ขนาดพื้นที่ แต่ศิลปวัฒนธรรมของ "เกาหลี" ยังหยั่งรากลึกที่นี่ด้วย
จากยอซูเดินทางด้วยรถยนต์ราวหนึ่งชั่วโมงก็จะมาถึง เมืองควางจู ที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงของจังหวัดชอลลาใต้มาก่อน ความสำคัญด้านศิลปะวัฒนธรรมทำให้ที่นี่ได้รับเลือกเป็นที่จัดงานเทศกาลศิลปะควางจูเบียนนาเล่มาตลอด ซึ่งกำลังจะจัดงานขึ้นอีกครั้งในปี 2023
"ควางจู" เป็นที่ตั้งของ Asia Culture Center (ACC) ซึ่งสร้างขึ้นภายใต้แผนพัฒนาเมืองศูนย์กลางวัฒนธรรมแห่งเอเชีย ใช้เวลาก่อสร้างกว่า 6 ปี ก่อนจะเปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายน 2558 ทำหน้าที่เป็นองค์กรแลกเปลี่ยนศิลปะและวัฒนธรรมระดับนานาชาติ
ลานกว้างด้านหน้า ซึ่งเป็นที่ตั้งของน้ำพุขนาดใหญ่และหอนาฬิกา บริเวณนี้เป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ด้านสิทธิมนุษยชนและสันติภาพของเกาหลีจากการชุมนุมของขบวนการประชาธิปไตยที่เคยเกิดขึ้นที่เมืองควางจูเมื่อ 18 พฤษภาคม 2523 ที่นี่จึงไม่ได้รับบทแหล่งรวบรวมวัฒนธรรมเอาไว้เท่านั้น แต่ยังบรรจุเรื่องราวการต่อสู้ของบรรพบุรุษเอาไว้ด้วย
ความน่าสนใจของอาคารต่างๆ ใน ACC ประกอบด้วยอาคาร 5 หลัง ได้แก่ อาคารหอประชุมเก่าของจังหวัดลชอลลาใต้ ออกแบบโดยคิมซุนฮา สถาปนิกเลื่องชื่อในยุคที่อยู่ใต้การปกครองของญี่ปุ่น สร้างขึ้นด้วยอิฐแดง โดดเด่นด้วยช่วงเว้าโค้งของอาคารและประตูกระจกด้านหน้า ถือเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมยุคใหม่ในสมัยนั้น
ถัดมาคือ ศาลากลางจังหวัดชอลลาใต้เก่า ออกแบบโดยสถาปนิกคนเดียวกัน มีจุดเด่นตรงช่องหน้าต่างที่แยกชั้นออกจากกัน เลือกปิดเปิดแค่บางส่วนได้ เป็นอีกอาคารที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
สำหรับอาคารที่สร้างขึ้นใหม่ ด้านในแบ่งเป็นพื้นที่ห้องสมุด ห้องประชุม โรงละคร โรงภาพยนตร์ และพื้นที่จัดนิทรรศการขนาดต่างๆ ซึ่งจะมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตลอดทั้งปี ส่วนหนึ่งเป็นนิทรรศการเกี่ยวกับเหตุการณ์ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย เพื่อให้เยาวชนรุ่นหลังได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์พร้อมกับเรียนรู้ศิลปะ
ที่ “เมืองควางจู” มีอีกหนึ่งสถานที่เกี่ยวกับศิลปะคือ Traditional Culture Center ศูนย์วัฒนธรรมที่อยู่ห่างออกมานอกเมือง ศูนย์วัฒนธรรมที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบฮันอก หรือบ้านโบราณเกาหลีแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงทางเข้าวัดจึงซิม ตีนเขามูดึง และนี่จะเป็นสถานที่ที่เราได้ซึมซับศิลปวัฒนธรรมเกาหลีดั้งเดิมผ่าน คายากึม (Gayageum)
“คายากึม” เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่่องสายของเกาหลีโบราณ รูปร่างคล้าย “เจง” ของจีน และ “โกโตะ” ของญี่ปุ่น ลักษณะเดียวกันกับจะเข้ของไทย มี 12 สาย ทำจากไม้เนื้อแข็ง ปรากฏครั้งแรกในดินแดนเกาหลีในช่วงคริสตศตวรรษที่ 6 โดยเชื่อว่ากษัตริย์กาสิล แห่งเมืองกายา ในแถบภาคใต้ของเกาหลีเป็นผู้พัฒนารูปแบบเครื่องดนตรีชิ้นนี้ นิยมใช้ประกอบการการสันทนาการ
สำหรับคนไทย อาจคุ้นหูกับคำว่า อารีดัง จนกระทั่งมีเพลงไทยทำนองเกาหลีที่เนื้อหาว่าด้วยทหารไทยที่ไปรบในสงครามเกาหลีแล้วได้พบรักกับสาวเกาหลี แต่แท้จริงแล้วต้นฉบับของอารีดัง คือเพลง อารีรัง บทเพลงที่ชื่อคล้ายแต่ไม่เหมือน ที่สำคัญความหมายของเพลงก็ไม่เกี่ยวกันอย่างสิ้นเชิง
เพลงอารีรังนี้เองที่อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน "คายากึม" นำมาเป็นบทเรียนให้นักเรียนฝึกหัดได้ลองร้องและเล่นคายากึม แต่ก่อนจะเรียนอาจารย์จะโชว์บทเพลงที่สะกดทุกสายตาทั้งด้วยเสียงร้องทรงพลังและเสียงคายากึมที่มีเสน่ห์ ถึงจะมาได้เรียน แต่แค่ได้มาชมการแสดงที่ว่านี้ก็ถือว่าคุ้มแล้ว
“คายากึม” เป็นเพียงส่วนหนึ่งของศิลปะวัฒนธรรมเกาหลีที่ให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้ ที่นี่มีศิลปะวัฒนธรรมแขนงอื่นให้ได้เรียนรู้ด้วย เช่น พเยแพคซัง (Pyebaeksang) การจัดโต๊ะแต่งงานสำหรับงานแต่งแบบเกาหลี หรือจะเป็น พันโซรี (Pansori) ละครเพลงเกาหลีดั้งเดิมก็มี
สำหรับนักท่องเที่ยวที่มา "เที่ยวเกาหลี" แล้วสนใจสัมผัสศิลปวัฒนธรรมของ “เมืองยอซู” และ “เมืองควางจู” ก็เดินทางได้สะดวกสบายด้วยเครื่องบิน, รถไฟความเร็วสูง (KTX) หรือรถโดยสารประจำทางระหว่างเมือง หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.kto.or.th
(สนับสนุนการเดินทางโดยองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี)