โผล่อีก "เจ้าบ่าวเทงานแต่ง" อ้างตัวเป็นทหาร เจ้าสาวสุดช้ำน้ำตาคลอรับแขก

โผล่อีก "เจ้าบ่าวเทงานแต่ง" อ้างตัวเป็นทหาร เจ้าสาวสุดช้ำน้ำตาคลอรับแขก

โผล่อีก "เจ้าบ่าวเทงานแต่ง" อ้างเป็นทหารหลอกให้จัดงาน เจ้าสาวสุดช้ำน้ำตาคลอทำพิธีสงฆ์-ต้อนรับแขกเพียงลำพัง โร่แจ้งความตำรวจให้ฝ่ายชายมารับผิดชอบค่าจัดงานอีก 3 แสน

วันที่ 5 พฤษภาคม 2565 โผล่อีก "เจ้าบ่าวเทงานแต่ง" ล่าสุดผู้สื่อข่าวปราจีนบุรีได้รับแจ้งจาก น.ส.น้ำทิพย์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี สาวโรงงานแห่งหนึ่งในพื้นที่เขตนิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี ได้ร้องทุกข์ว่าถูกชายคนหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นทหาร ยศ "จ่าเอก" หลอกว่าจะมาจัดพิธีมงคลสมรสในวันที่ 1 พ.ค. 2565 แต่พอถึงวันแต่งงานกลับเทงาน ไม่มาตามที่พูดคุยตกลงไว้

 

โผล่อีก \"เจ้าบ่าวเทงานแต่ง\" อ้างตัวเป็นทหาร เจ้าสาวสุดช้ำน้ำตาคลอรับแขก

 

 

โดยวันที่ 1 พ.ค. 2565 ที่ผ่านมา น.ส.น้ำทิพย์ (เจ้าสาว) กล่าวว่า ตนได้เตรียมงานแต่งไว้ซึ่งมีทั้งพิธีทางศาสนา โต๊ะจีน 50 โต๊ะ ไว้สำหรับเลี้ยงแขก พอถึงเวลาเริ่มพิธีรอเจ้าบ่าวอยู่นาน เจ้าบ่าวก็ไม่มาเข้าพิธี ติดต่อไปก็ไม่รับสาย จึงรู้ว่าถูกหลอกให้งานแต่ง ตนจึงเสียใจอย่างมาก แต่ก็ต้องทนยืนรับแขกที่มาร่วมพิธีคนเดียวโดยไร้เงาเจ้าบ่าวจนเสร็จงาน ทำตนทุกข์ระทมใจเป็นอย่างมาก

 

ที่สำคัญคือตอนนี้ตนและครอบครัวเป็นหนี้เกือบ 300,000 บาท โดยเป็นหนี้ที่นำมาใช้จัดงานแต่งทั้งหมด และที่มาร้องผู้สื่อข่าวแม้เวลาจะล่วงเลยมา 2-3 วันแล้วก็ยังไร้เงาเจ้าบ่าวที่อ้างเป็นทหารมารับผิดชอบกับเรื่องนี้

 

ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่ หมู่ 6 บ้านสระจาน ตำบลนาดี อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งไปพบกับ น.ส.น้ำทิพย์ (ขอสงวนนามสกุล) ที่ถูกเจ้าบ่าวเทงานแต่ง ที่ยังคงอยู่ในอาการเหม่อลอย โดยที่บ้านซึ่งได้จัดงานยังคงมีดอกไม้ที่นำมาประดับตกแต่งในพิธีรดน้ำสังข์ รวมถึงป้ายชื่อเจ้าบ่าว-เจ้าสาว นอกจากนั้นยังมีร่องรอยให้เห็นว่ามีการจัดเลี้ยงแขกจริง

 

น.ส.น้ำทิพย์ ยังได้นำภาพถ่ายที่ตนเองต้องจัดงานพิธีสมรสโดยไม่มีเจ้าบ่าวมาให้ผู้สื่อข่าวดู พร้อมกับบิลค่าใช้จ่ายต่างๆรวมแล้วเกือบ 300,000 บาท ซึ่งระบุว่า ตนและครอบครัวคงต้องหาเงินมาใช้หนี้

 

โผล่อีก \"เจ้าบ่าวเทงานแต่ง\" อ้างตัวเป็นทหาร เจ้าสาวสุดช้ำน้ำตาคลอรับแขก

 

 

น.ส.น้ำทิพย์ กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า ตนกับแฟนหนุ่มที่อ้างตัวเป็นทหารยศ "จ่าเอก" ได้คบหาดูใจกันมาตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 64 ตลอดเวลาที่คบกันเขาบอกกับตนว่าเป็นทหาร และยังอ้างว่าเป็นบอดี้การ์ดให้กับนักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่ตำบลนาดี ด้วยบุคลิกการแต่งกายและการพูดจาตนจึงเชื่อว่าแฟนหนุ่มเป็นทหารจริงๆ จึงไม่ได้สอบถามเพิ่มเติม

 

ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาชายคนดังกล่าวนั้นเป็นคนนิสัยดี เสมอต้นเสมอปลาย เข้ากับคนที่บ้านพ่อแม่พี่น้องได้ดี โดยจะคอยทำอาหารกับข้าวภายในบ้านและดูแลทุกอย่างแทบจะทุกวัน ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ทิ้งงานแต่งนั้นฝ่ายชายได้มาพูดคุยบอกว่าอยากจะขอแต่งงาน แต่เนื่องจากตนเคยแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่งจึงบอกฝ่ายชายไปว่าไม่ต้องจัดงานใหญ่ก็ได้เพราะว่าตนเคยแต่งงานมาแล้ว แต่ทางฝ่ายชายบอกว่าอยากได้งานใหญ่นิดนึงเพราะว่าเขานั้นเป็นทหาร และยังรู้จักบุคคลใหญ่โตอีกหลายคน ตนจึงตามใจฝ่ายชายโดยไม่ได้ห้ามอะไร

 

หลังจากนั้นทางฝ่ายชายก็ได้คุยกับพ่อแม่ โดยพ่อแม่ได้เรียกค่าสินสอดเป็นเงิน 200,000 บาท และทองคำหนัก 3 บาท เบื้องต้นฝ่ายชายบอกว่าไหวและจะหาเงินมาทันในงานวันแต่งแน่นอน ก่อนหน้านี้ตนกำหนดงานไว้วันที่ 25 มีนาคม 65 ที่ผ่านมา แต่เกิดการแพร่ระบาดอย่างหนักของ covid-19 จึงไม่สามารถจัดงานได้ เลยเลื่อนมาเป็นวันที่ 1 พฤษภาคม 65 โดยที่ฝ่ายชายเป็นคนดำเนินการเรื่องการจัดดอกไม้ จัดซุ้มอาหาร ดนตรี เครื่องดื่ม ด้วยตนเอง

 

พอถึงงานวันแต่งวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 เวลาประมาณ 02.00 น. ฝ่ายชายได้เก็บกระเป๋าแล้วบอกว่าจะไปนอนกับแม่และญาติที่ได้มาจองรีสอร์ทใกล้เคียงกับบ้านของตนไว้ ส่วนตนนั้นต้องแต่งหน้าต่อจึงได้มอบเงินให้ฝ่ายชายจำนวน 20,000 บาท เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายส่วนต่าง ๆ ในระหว่างงาน

 

หลังจากนั้นตนก็แต่งตัวแต่งหน้าจนถึงเวลาประมาณ 06.00 น. หลานชายได้มาบอกว่าน้ำแข็งในงานมาลงแล้วจะต้องจ่ายเงินสดเขา ตนจึงพยายามโทรหาฝ่ายชายว่าให้นำเงินมาจ่ายและมาแต่งหน้าแต่งตัว เพราะว่าอีกประมาณ 1 ชั่วโมงจะมีพิธีสงฆ์ และฝ่ายชายก็บอกว่ากำลังมา และพอเวลา 07.00 น. ต้องเข้าสู่พิธีสงฆ์ ตนจึงได้โทรหาฝ่ายชายอีกรอบ โดยฝ่ายชายได้บอกกลับมาว่า ตอนนี้มีปากเสียงเรื่องเงินสินสอดกับแม่อยู่ ขอเวลาประมาณ 07.00 น. เจ้าจะรีบเข้ามาให้ทันพิธี ซึ่งหลังจากนั้นตนก็โทรติดต่อฝ่ายชายไม่ได้อีกเลย

 

เมื่อเวลาผ่านไปตนจึงคิดได้ว่าฝ่ายชายคงได้หนีการแต่งงานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นตนหรือสึกช็อกและเสียใจมาก แต่เนื่องด้วยทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้วตนจึงแข็งใจออกมาทำพิธีทางสงฆ์เพียงคนเดียว และต้อนรับแขกเพื่อให้งานผ่านพ้นไปด้วยดี และหลังจากเสร็จพิธีตนก็พยายามติดต่อไปยังฝ่ายชายอีกแต่ก็ติดต่อไม่ได้ จึงได้ปรึกษากับครอบครัวและนำหลักฐานทั้งหมดเข้าแจ้งความบันทึกประจำวันกับตำรวจ เพื่อให้ฝ่ายชายมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในงานทั้งหมด

 

ส่วนทางด้านนายสี (สงวนนามสกุล) อายุ 75 ปี ซึ่งเป็นบิดาของเจ้าสาวได้เปิดใจว่า ตนเห็นลูกสาวคบกับชายคนดังกล่าว และระหว่างที่คบกันนั้นก็เห็นว่าชายคนดังกล่าวมีนิสัยดี และลูกสาวตนก็รักผู้ชายคนนี้มาก หลังจากนั้นชายคนดังกล่าวก็ได้มาสู่ขอลูกสาวตน ตอนนั้นยังเอะใจว่าทำไมไม่ให้พ่อแม่เข้ามาคุย ซึ่งชายคนดังกล่าวก็อ้างว่าแม่และญาติป่วยไม่สามารถเดินทางมาได้ ตนเห็นว่าชายคนนั้นนิสัยดีจึงเรียกค่าสินสอดไป 200,000 บาท และทองคำ 3 บาท ชายคนดังกล่าวก็รับปากและจะนำญาติพี่น้องพ่อแม่มาในงานวันแต่ง แต่ก็ไม่คิดว่าจะเทงานแต่งแบบนี้

 

ทั้งนี้แม้จะผ่านมาได้ 3-4 วันแล้ว แต่ น.ส.น้ำทิพย์ (เจ้าสาว) ยังคงพยายามทำใจ ตั้งหน้าทำงานเพื่อใช้หนี้ที่ยืมมาจัดงาน แต่ง โดยมีคนในครอบครัวคอยให้กำลังใจตลอดเวลา นอกจากนี้ยังฝากถึงเจ้าบ่าวที่อ้างตัวเป็นทหารให้ยืดอกออกมารับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดด้วย

 

โผล่อีก \"เจ้าบ่าวเทงานแต่ง\" อ้างตัวเป็นทหาร เจ้าสาวสุดช้ำน้ำตาคลอรับแขก

 

ข่าว/ภาพ สายชล หนูแดง - ทัตธน เหล่าหล้า จ.ปราจีนบุรี