’นักวิชาการ‘ชี้กฤษฎีกาพิจารณาคุณสมบัติ ‘พิชิต‘ ครบถ้วนตามรธน.แล้ว
นักวิชาการรัฐศาสตร์ ระบุกฤษฎีกาพิจารณาคุณสมบัติพิชิตครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ พร้อมมองคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นบรรทัดฐาน หากไม่วางให้ชัดจะก่อให้เกิดการตีความที่หลากหลาย และอาจจะถูกยิบหยกมาเป็นประเด็นทางการเมือง
รองศาสตราจารย์ ยุทธพร อิสรชัย นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวถึงกรณีของนายพิชิต ชื่นบาน อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เคยถูกคดีละเมิดอำนาจศาลฏีกาว่า การที่ไม่สามารถขออุทธรณ์ได้เป็นสิ่งที่เกิดคำถามถึงหลักนิติธรรมในการให้โอกาสกับบุคคลในการอุทธรณ์ และในกรณีนี้หากไม่ชัดเจนก็ไม่สามารถบอกได้ว่าบุคคลใดทำผิดจริงหรือไม่
ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตถึงการสอบถามคณะกรรมการกฤษฎีกากรณีนายพิชิตไม่ครบถ้วน รศ.ยุทธพร ยืนยันว่าสอบถามครบถ้วน เป็นการถามเรื่องคุณสมบัติรัฐมนตรี ตามมาตรา 160 ในรัฐธรรมนูญ โดยในรัฐธรรมนูญเขียนเอาไว้เกินกว่า 10 ปี ให้ถือว่าสามารถดำรงตำแหน่งได้ ซึ่งกรณีนายพิชิต 15 ปี ทั้งนี้เมื่อดูในรายละเอียดข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีการเชื่อมโยงอะไรถึงตัวนายพิชิต
สำหรับกรณีของศาลรัฐธรรมนูญที่รับเรื่องของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แม้จะไม่รับเรื่องของนายพิชิต แต่การพิจารณาจะเกี่ยวพันกัน และสิ่งสำคัญต้องพิจารณาว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อผูกพันทุกองค์กรที่ต้องปฎิบัติตาม เมื่อศาลรับเรื่องแล้ว คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นบรรทัดฐาน หากไม่วางให้ชัดเจนจะก่อให้เกิดการตีความที่หลากหลายและอาจจะถูกยิบหยกมาเป็นประเด็นทางการเมืองจนทำให้เกิดเป็นปัญหาในอนาคต
“การที่ศาลรัฐธรรมนูญจะบอกว่าเมื่อศาลฎีกาฯมีคำสั่งแล้วในการละเมิดอำนาจศาลไม่ให้อุทรต่อ แล้วศาลรัฐธรรมนูญจะนำมาใช้เลย อาจเกิดคำถามต่อกระบวนการในการใช้กฎหมายหรือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้
ขณะเดียวกันอาจมีผลในทางการเมือง หากศาลไม่พิจารณาไตร่ตรองให้ละเอียดรอบคอบ ท้ายที่สุดศาลจะเป็นคู่ขัดแย้ง การใช้กฎหมายให้กลายเป็นการเมืองจะทำให้สถานการณ์การเมืองบานปลายต่อไป เพราะวันนี้ทุกอย่างกำลังไปได้ กำลังพัฒนาประชาธิปไตย หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองอีกครั้งหนึ่งสถานการณ์การเมืองจะย้อนกลับไปที่เดิม และส่งผลกระทบกับด้านอื่นๆ โดยเฉพาะ เศรษฐกิจ สังคม”
รศ.ยุทธพรยังระบุว่าบทบัญญัติของกฎหมายในหลายเรื่องยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งกรณีที่มีผู้ไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ คำร้องได้พูดถึงเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ชัด แต่ในแง่ของข้อกฎหมายยังไม่สามารถชี้ได้ชัดถึงความหมายของคำว่าซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ชัดกินความได้แค่ไหน
และประเด็นของนายพิชิต ที่พูดถึงเรื่องของคุณสมบัติ ได้มีทั้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ตรวจสอบคุณสมบัติในการที่จะเสนอชื่อคนที่จะเป็นรัฐมนตรี ซึ่งขั้นตอนเหล่านั้นเป็นขั้นตอนของฝ่ายข้าราชการประจำที่ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ดังนั้นในเรื่องนี้ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินโดยไม่ทำให้เกิดความกระจ่างชัด อนาคตจะกลายเป็นบรรทัดฐาน อีกทั้งกรณีของนายพิชิต เป็นกรณีตัวอย่างที่สำคัญว่าเราจะใช้กฎหมายกับบุคคลโดยไม่คำนึงถึงหลักนิติธรรม ก็จะไม่เป็นธรรมกับนายพิชิต หรือกับใครก็ตาม
รศ.ยุทธพร ยังระบุว่ากรณีนายพิชิตที่ถูกติดคุกเป็นคำสั่งศาล ไม่ใช่ทั้งคดีแพ่งและอาญา เป็นกฎหมายไม่มีในวิธีสบัญญัติ ไม่ใช่คำพิพากษา และเรื่องของคำสั่งศาลถ้าโดยหลักนิติธรรมแล้วจะต้องมีกระบวนการในการที่จะขออุทธรณ์ได้ แต่ปรากฏว่านายพิชิตไม่สามารถอุทธรณ์ได้ เพราะศาลกล่าวว่าเป็นเหตุที่เกิดขึ้นที่ศาลฎีกาจึงเกิดคำถามว่าตกลงแล้วเป็นไปตามหลักนิติธรรมหรือไม่
อย่างไรก็ตามเมื่อเริ่มเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญหากไม่มีความชัดเจน หรือมีประเด็นที่มีข้อสงสัย ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะมีการสั่งให้ไต่สวนเพื่อความชัดเจนว่านายพิชิต เกี่ยวข้องหรือไม่ โดยเรื่องนี้สามารถทำได้ เนื่องจากคำสั่งศาลต่างๆไม่ได้ผูกพันกับศาลรัฐธรรมนูญ
รศ.ยุทธพร ยังระบุถึงการทำหน้าที่ของส.ว.250 ที่สังคมมองว่าหมดวาระไปแล้ว อยู่ในช่วงรักษาการคือทำงานในท่าที่เท่าที่จำเป็น และกระบวนการในการตรวจสอบควรจะจะต้องให้สส.ที่มาจากการเลือกตั้งตรวจสอบกันเอง และการยื่นคำร้องตามมาตรา 82 ต่อศาลรัฐธรรมนูญ สส.ก็สามารถทำได้