เปิดใจ‘พิชิต ชื่นบาน’ ลาออกเพื่อชาติ กลัว‘พวกทิ้ง’มากกว่า‘ทิ้งเก้าอี้’

เปิดใจ‘พิชิต ชื่นบาน’ ลาออกเพื่อชาติ กลัว‘พวกทิ้ง’มากกว่า‘ทิ้งเก้าอี้’

“ชื่อพิชิต ชื่นบาน จะเป็นตำนานที่กล่าวขานในความเป็นธรรมกับผมบ้าง ว่าการลาออกรัฐมนตรีครั้งนี้ ผมปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติให้เป็นตำนานแบบอย่างไป ยืนยัน ไม่มีใครมาสั่งผมหรอก”

KEY

POINTS

  • "กลัวที่สุดในชีวิต พรรคพวกทิ้งผมมากกว่าตำแหน่ง" เหตุผลลาออก รมต.ประจำสำนักนายกฯ ของ "พิชิต ชื่นบาน"
  • ดับที่ตัวเองเป็นต้นเรื่องด้วยการลาออกจากรัฐมนตรีเมื่อ 21 พ.ค. 2567 
  • "ลาออกครั้งนี้ ทำงานเพื่อชาติ ตำแหน่งเป็นเรื่องชั่วคราว แต่ตำนานเป็นเรื่องยาวนาน" ขอสร้างมาตรฐานครั้งนี้เป็นตำนาน
  • ไม่ก้าวล่วงศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องวินิจฉัยคุณสมบัติรัฐมนตรีของ "เศรษฐา ทวีสิน" ในประเด็นที่เกี่ยวกับ "พิชิต"
  • คดีถุงขนม 2 ล้านบาท ควรเป็นกรณีศึกษาที่ "พิชิต" ได้ถูกตัดสินในชั้นเดียวจบจนถูกคุมขังในเรือนจำ 6 เดือน
  • ได้คาถาครองชีวิตจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ "อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้"
  • นอนร้องไห้คืนแรกแบบไม่อาย เป็นทนายความมาทั้งชีวิต ยึดความเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่เคยทำดำเป็นขาว ทำขาวให้เป็นดำ

“ชื่อพิชิต จะเป็นตำนานที่กล่าวขานในความเป็นธรรมกับผมบ้าง ว่าการลาออกรัฐมนตรีครั้งนี้ ผมปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติให้เป็นตำนานแบบอย่างไป ยืนยัน ไม่มีใครมาสั่งผมหรอก”

“พิชิต ชื่นบาน” เปิดใจแบบเจาะลึกกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ในที่ทำงานส่วนตัว ย่านลาดพร้าว หลังจากพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้เพียง 2 วัน โดยบอกว่า ตัวเองลาออกครั้งนี้เพื่อชาติ เลือกสละ“เรือ”มารักษา “ขุน”ให้สมกับคำประกาศว่าเป็น องครักษ์พิทักษ์นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน

ลาออกครั้งนี้ของ “พิชิต” เพื่อขัดขวางไม่ให้องคาพยพฝ่ายตรงข้าม ยื่นดาบให้ศาลรัฐธรรมนูญเชือดนายกฯ พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งเป็นปมปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติ ว่าด้วย “ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ในการแต่งตั้ง “พิชิต” เป็นรัฐมนตรี 

ศาลรัฐธรรมนูญ ประชุมเมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2567 มีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียงให้รับคำร้องของ 40 สว.เพื่อวินิจฉัยสถานะคุณสมบัติของ “เศรษฐา” ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 1 เพียงตำแหน่งเดียว ขณะที่ “พิชิต” ผู้ถูกร้องที่ 2 ศาลได้มีมติ 8 ต่อ 1 เสียงไม่รับคำร้องได้พิจารณา เพราะเหตุแห่งการลาออกจากรัฐมนตรีได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2567

เปิดใจ‘พิชิต ชื่นบาน’ ลาออกเพื่อชาติ กลัว‘พวกทิ้ง’มากกว่า‘ทิ้งเก้าอี้’

เปิดใจ‘พิชิต ชื่นบาน’ ลาออกเพื่อชาติ กลัว‘พวกทิ้ง’มากกว่า‘ทิ้งเก้าอี้’

เริ่มต้นก่อนเข้าประเด็นที่ต้องลาออกจากรัฐมนตรี "พิชิต" บอกว่าตัวเองเป็นคนพื้นเพ จ.ปราจีนบุรี โดยกำเนิด บิดารับราชการตำรวจชั้นประทวน ยศจ่าสิบตำรวจ ส่วนมารดาทำอาชีพค้าขาย ด้วยความเป็นเด็กต่างจังหวัด ก็ชื่นชอบกีฬาฟุตบอล ม.ปลาย จึงตั้งใจว่าจะมาเรียนคณะนิติศาสตร์ ม.รามคำแหง ด้วยเหตุที่พ่อเป็นตำรวจ เห็นพ่อเล่าหลายประเด็นเรื่องชีวิต ความไม่เป็นธรรม  จึงคิดว่าความเป็นนักกฎหมายน่าจะมาถูกทางแล้ว 

เมื่อเรียนจบ ม.ปลาย ในปี 2520 ก็เข้าสู่กรุงเทพฯ เลือกเรียนคณะนิติศาสตร์ ม.รามคำแหง พร้อมทั้งตัดสินใจ เลิกเล่นกีฬาฟุตบอล ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นนักฟุตบอลประจำจังหวัด ถึงขั้นพาทีมจังหวัดเข้าเตะไทยแลนด์คัพในสมัยนั้นที่สนามศุภชลาศัยได้ 

"เป็นนักกีฬาฟุตบอลประจำจังหวัดปราจีนบุรี ไปเตะเขต คลั่งไคล้กีฬาฟุตบอลเลย ยุติตอนเรียน ม.รามคำแหง ปี 1 เตะสนามศุภชลาศัย ตอนนั้นเล่นฟุตบอลไทยแลนด์คัพ ยังไม่มีลีกเหมือนสมัยนี้ ก็ปรากฏว่า ปราจีนบุรี ได้แชมป์ภาคตะวันออกมาก็มาแข่ง สนามศุภชลาศัย ตื่นสนามกัน สกอร์ออกมา เรากินไข่ ศูนย์ตลอด 3-0 บ้าง 4-0 บ้าง ตกรอบ" พิชิต เล่าให้ฟังด้วยเสียงหัวเราะ

กระทั่งเขามุ่งมั่นเลือกเรียนคณะนิติศาสตร์ ม.รามคำแหง ใช้เวลา 3 ปีก็จบด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 เมื่อปี 2523 เมื่อเรียนจบก็ออกมาประกอบอาชีพทนายความตามที่ตั้งความฝันไว้ พร้อมทั้งจบเนติบัณฑิตไทย (สมัยที่ 34) สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เมื่อปี 2525

วิบากรรมชีวิต คดีละเมิดอำนาจ

อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯที่อยู่ในวาระเพียง 24 วันบอกเล่าความรู้สึกกับข้อครหาว่าเป็น “ทนายถุงขนม” ทั้งที่คำสั่งของศาลฎีกา ที่ 4599/2551 ลงวันที่ 25 มิ.ย. 2551 ในคดีละเมิดอำนาจศาล เป็นการตัดสินด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเท่านั้น และคำสั่งดังกล่าวไม่ใช่การต้องโทษในคดีอาญา ที่มีผลต่อลักษณะต้องห้ามการเป็นรัฐมนตรี ด้วยฟางเส้นนี้ทำให้ “เศรษฐา” ต้องถูกลากไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งผลของคำวินิจฉัยมีเพียง "รอด" หรือ "ร่วง" เท่านั้น

“ผมเป็นคนเดียวในประเทศไทยที่ศาลเดียวตัดสินแล้วจบชีวิตเลย จริงๆ คนที่มีใจให้ความเป็นธรรมกับผม ต้องคิดเรื่องนี้เป็นกรณีศึกษา ในแวดวงชุมชนนักกฎหมาย ต้องเอาเรื่องผมไปศึกษา"

"นักการเมืองต้องหาคดีอาญาไปขึ้นพิจารณา ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินแล้วก็ยังมีสิทธิอุทธรณ์ได้ แต่ทนายความทำงานศาลเดียวจบ คดีเกิดที่ศาลฎีกาคดีถึงที่สุดแล้ว เรียกลูกศิษย์ เพื่อนทนายความ เราว่าดูไม่ผิด ไม่มีกฎหมายบัญญัติ เหตุเกิดที่ศาลฎีกา ข้องใจมันโดนครั้งที่สองก็ช็อกอีก”

“พิชิต” บอกถึงคดีละเมิดอำนาจศาล ในระหว่างที่ว่าความให้ลูกความคือ อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2551 เพื่อต่อสู้คดีที่ดินรัชดา แต่การว่าความของเขากลับมาประสบชะตากรรมที่ไม่คาดในชีวิตจนต้องถูกคุมขัง

“ผมก็ตกใจ เอาจริงจะเกี่ยวอะไร แค่ผมคนเดียว ก็ตกใจ มันเกี่ยวอะไร เสมียนทนายผู้หญิงที่เป็นเลขาฯ ผมก็โดนด้วยอีก ผมบอก เฮ้ย... คนนี้ไม่เกี่ยวใหญ่เลย 3 ผู้ถูกกล่าวหา พอรู้ว่ามีเรื่องจะไต่สวนละเมิดอำนาจศาล ด้วยเหตุเอาเงิน 2 ล้านขึ้นไปบนศาล แล้วไปให้เจ้าหน้าที่ศาล”

พิชิต

“พิชิต” ตั้งข้อสังเกตว่า “ทำไมคดีเราคดีเดียวนัดฟัง บ่าย 2 เลื่อนไปฟัง 4 โมงเย็น เราเป็นทนายความ 20 กว่าปี ขึ้นต้นอ่านไม่รู้กี่หน้าต่อกี่หน้า ก็ไม่มีข้อเท็จจริงอะไรเกี่ยวกับเงิน 2 ล้านที่ใส่ถุงกระดาษขึ้นไป หรือที่เรียกสนุกปากว่า ”ถุงขนม“ อ่านไปมา ท่านอ่านมา เราว่าความ ถ้าคดีอาญาจำเลยในคดีอาญา ถ้าอ่านมาครึ่งเรื่อง ก็รู้แล้วว่าคดีนี้เกม คดีนี้โชคดี คดีนี้หลุดแล้ว”

"พอผมอ่านแล้วผมช็อกว่า ผมน่าจะรู้เห็น ทีนี้น่าจะรู้เห็น ผมยังคิดว่าผมคงไม่เกมไม่น่ามีปัญหา ก็คิดว่าผมคงไม่เกมหรอก ไม่มีปัญหาอะไรหรอก เพราะว่าบทสันนิษฐาน ในทางอาญา ถ้าเป็นทางอาญา ขณะผมไต่สวน โดยใช้วิธีพิจารณาความแพ่ง  ในทางอาญา ถ้าน่าจะ ยังไงก็ยกฟ้อง เพราะว่าใน ป.วิอาญา เขียนไว้เลย ถ้ากรณีคดียังมีเหตุสงสัยตามควรให้ยกผลประโยชน์ให้จำเลย ถ้าเทียบกับคดีอาญานะ"

“พิชิต” ในวัย 66 ปีชี้แจงว่า “ผมเข้าใจธรรมเนียมเข้าใจในกรอบกฎหมายดีพอ ในประเด็นที่มีการกล่าวหาว่าให้สินบนเจ้าหน้าที่ศาล มันไม่มีเหตุจูงใจใดๆ เลย นั่งคิดนอนคิด กี่ตลบ เราไม่มีจิตวิปลาส หรือเสียสติ เอาเงิน 2 ล้านขึ้นไปให้เจ้าหน้าที่ศาล มันหาเหตุหาผลไม่ได้ ด้วยเรื่องอะไร เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องรับชะตากรรม”

เมื่อถามว่า ปกติวิสัยเป็นทนายจะต้องถือถุงกระดาษมีเงินจำนวนมากไปศาลหรือไม่ "พิชิต" บอกทันทีว่า "เป็นไปไม่ได้หรอกเอาสมองส่วนไหนคิด วิชาชีพทนายความ การจะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าหน้าที่ศาลมันมีหลายวิธี ไม่ต้องทำเรื่องเสียสติ ผมใช้คำว่าเสียสติ ผมไม่รู้ใครอะไรยังไง ผมอยู่ห้องแคบๆ ห้องพักรับรองกับลูกความผมอยู่ ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เอาตัวผม หรือทนายความทั่วไป ไม่มีใครมีความคิดอย่างนั้นหรอก”

นาทีที่รู้ว่าศาลฎีกามีคำสั่งให้คุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ เป็นเวลา 6 เดือน “พิชิต” พยายามจะต่อสู้ด้วยการร้องขอต่อประธานศาลฎีกาเพื่อให้นำเรื่องละเมิดอำนาจศาลมาขอคืนความเป็นธรรม และมีความคิดด้วยว่าจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องการถูกตัดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม เพราะคดีนี้ไม่ได้สิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกา แต่เพื่อนฝูงที่เป็นผู้พิพากษา อัยการได้ห้ามปรามและบอกให้ทนๆ ไป

"ผมดีใจอย่างหนึ่งแม้จะโดนคดีละเมิดอำนาจศาลก็มีเพื่อนฝูง อัยการ ผู้พิพากษา ทนายความที่เข้าใจตัวตนผม เข้าใจชีวิตผม เข้าใจความประพฤติผม เข้าไปเยี่ยม บอกอย่าไปฟ้องเลย ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าฟ้องตรงได้หรือไม่ บอกทนๆ ไปเถอะ ให้อุทธรณ์ ฎีกา หรือมาเริ่มต้นอะไรใหม่ แล้วคิดเหรอว่าจะรอด อันนี้พูดกับเพื่อนกับฝูงนะ ทนก็ทน ต้องเข้าไปอยู่"

พิชิต

คืนแรกเข้าคุก นอนร้องไห้แบบไม่อายทั้งคืน

“พิชิต” เล่าแบบไม่อายว่า "โดนคุมขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ  6 เดือน ผมเข้าไปคืนแรก ผมนอนร้องไห้ จากคนที่ไม่เคยร้องไห้ ผมเล่าจากใจ ผมเข้าไป สูทอะไร ที่เราห้อยพระ อะไรต้องลูกน้องหมด เหลือแต่กางเกงขายาว เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวหนึ่ง ไปอาบน้ำให้แก้ผ้าอาบน้ำ ผมไม่เคยแก้ผ้าอาบน้ำกลางแจ้ง แล้วปรากฏผมก็บอกขอใส่กางเกงชั้นในหน่อย ปรากฏชั้นในมันเปียก มันเข้าแบบฉุกเฉิน ฟัง 4 โมงเย็น เอาตัวผมเข้าค่ำแล้ว เข้าไปกินข้าวก็กินไม่ลง เสร็จก็นอนไปอยู่ที่คุมขังรวม 90 กว่าคน 

"ผมก็ถอดเสื้อเชิ้ตออกคลุมหน้าร้องไห้ ผมเล่าไม่อาย เพราะว่าชีวิตเราทำไมต้องเป็นแบบนี้ ผมเล่าไม่อายเลย ผมเอาเสื้อเชิ้ต ปรากฏหัวหน้าผู้คุม เอาให้ผมมานอนมุมนี้ ยังถือว่าให้เกียรติวิชาชีพทนายความ  ผมไม่ได้เถยจิตเป็นโจร ปรากฏว่าคืนแรกนอนห้อง 90 กว่าคน แสงนีออน สว่างทั้งคืนเลย เวลาเรานอนปกติต้องปิดไฟ นี่แสงนีออน สว่างทั้งคืนเลย นอนไม่หลับหรอกครับ นอนร้องไห้ นอนไม่หลับทั้งคืน"
 

"นอนร้องไห้แล้วคิด แล้วคิดถึงทำไมเกิดอย่างนี้ เวลาเราว่าความไม่เคยแกล้งใคร ไม่เคยทำให้ใครทำขาวให้เป็นดำ ทำดำให้ขาว เราทำงานตรงไปตรงมา ว่าทำไมอย่างนี้ ก็พยายามหาคำตอบในชีวิต ดูหมอมา หมอก็ไม่เคยทักมาอยู่ในสภาพนี้ ก็พอวันรุ่งขึ้นได้อยู่ห้องใหม่"

จากทนายความต้องเป็นผู้คุมขังเล่าอีกว่า "ผมเข้าไปอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ผมมารู้จากเจ้าหน้าที่เรือนจำที่หลังว่า ผมเป็นคนที่มีแขกเยี่ยมมากที่สุดทุกวันตั้งแต่เป็นผู้ถูกคุมขังมา ทุกวัน ปรากฏว่าวันละ 30-50 คน ก็เลยต้องจัดช่องที่หนึ่งให้ผม ช่องใหญ่หน่อย มาทุกวัน ก็ได้ข้อคิด คนที่ถูกคุมขังรับโทษ เหมือนนรก สวรรค์บนแผ่นดินมีจริง คนไม่มีพวกก็ไม่มีใครมาเยี่ยมเลยนะ อยู่ในนั้นเป็นปีสองปีก็ไม่มีใครมาเยี่ยม  ผมก็เอาสิ่งที่ผมได้รับจากการเยี่ยมทั้งบุหรี่ ทั้งอาหารก็ไปแจก ในแดนผมอยู่ 400 กว่าคน ผมได้สัจธรรม ชีวิตถ้าเราอยู่ถ้าอยู่ข้างนอกไม่มีโอกาสเจอคนพวกนี้หรอก"

ได้คาถาครองชีวิตแดนหนึ่ง "อยู่ให้เป็น"

"ไปได้คาถา ธรรมะใหญ่เลย จะเขียนไว้ที่ในแดนหนึ่ง ตัวใหญ่เลยครับ อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้ อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้"

"พิชิต" เล่าว่า "อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้ เหมือนเขาให้สติ  ข้างในเขาเรียกว่าถ้าคนอยู่ไม่เป็น เย็นไม่พอ รอให้ได้ ก็ดิ้นรน ฆ่าตัวตาย  หรือป่วยทางจิต คือเขาเรียกรั่ว ในเรือนจำพิเศษเขาเรียกรั่ว คือเดินมองท้องฟ้า ผมก็กลัวรั่ว ก็พอเพื่อนมาเยี่ยม ขอรองเท้าหน่อย พอปล่อย 6 โมงเช้าก่อนร้องเพลงชาติ 8 โมงเช้า ตอน 07.45 น. มาเตรียมพร้อมอยู่หน้าธงชาติ ผมอาศัยเวลา 6 โมงเช้าวิ่งหน้าเสาธง วิ่งเพื่อให้วันนั้นมันเหนื่อย เหนื่อยเพื่อให้ผมนอนหลับ เพลียนอนหลับ ก็เริ่มนอนหลับ จาก 3 เดือนหลับบ้างไม่หลับบ้าง สลับคืนอะไรต่างๆ 

"เอาว่าในประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน แล้วให้ผมสาบานหรืออะไรก็ได้ในทางเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผมพร้อมไปทุกที่เลยในชีวิตผม จะเอากันแบบบ้านๆ เวลาขึ้นศาลยังมีคำสาบาน จะให้การให้ความสัตย์จริง เอาไปได้เลย  สาบานที่ไหนในโลกนี้ จุดนี้สำคัญที่สุด ถ้าผิดคำสาบานให้มีเหตุเป็นไป ผมยืนยัน ส่วนทางสำบัดสำนวน ทางเอกสาร คำสั่งนี้มีข้อสังเกตหลายประการ ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่ผมถูกตัดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ศาลเดียวจบ ไม่สามารถอุทธรณ์ ฎีกาได้มากมาย"

ช่วงท้ายที่ถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ "พิชิต" ได้พบกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งเขาเห็นว่าไม่สมควรมาถูกคุมขังด้วยข้อหาความผิดเกี่ยวกับเช็คเด้ง เพราะอาจารย์ท่านนี้งานสะดุด ทำให้ถูกขุมคังเรือนจำพิเศษ แต่มีความสามารถเก่งในการวาดรูป

"ผมก็เลยตอนบ่ายบอกอาจารย์ ผมไม่ต้องคิดอะไร วาดรูปพ่อรูปคุณแม่ให้ผมหน่อย แกก็บอกไปเอาสีมาดิ เราก็ไปขออนุญาตตามระเบียบ เอารูปพ่อ รูปแม่ที่อยู่ด้วยกันไปวาด ก็ใช้เวลาจากเดือนที่ 4-6 วาดรูปตอนบ่าย จนเดือนที่ 5 เสร็จ ก็ได้รูปโปสการ์ด เขียนด้วยดินสอสี ซึ่งเหมือนมากเลย"

"พิชิต"เล่าห้วงเวลาคืนสุดท้ายที่ถูกคุมขังในเรือนจำว่า "คืนสุดท้ายผมก็บอกว่า ผมออกไปกินข้าวคนละมื้อ คืนนี้ผมหลับสบายแน่ พรุ่งนี้ผมออกแล้ว ปรากฏว่าเป็นจริงอย่างที่ท่าน (ผู้คุม) บอก เดี๋ยวนี้ยังรักชอบพอ ท่านยังรับราชการอยู่  ตอนนั้นยังหนุ่มๆ ตอนนี้มีอายุแล้ว ผมนอนไม่หลับจริงๆ  ผมมองนาฬิกาแล้วเที่ยงคืนแล้วตีหนึ่งแล้วตีสองแล้ว ตีสาม ตีสี่ ตีห้าแล้วก็นอนไม่หลับ สุดท้ายออกมาพร้อมภาพถ่ายของพ่อของแม่ ครอบครัวก็มารับออกไป"

"ตอนนั้นแม่ยังมีชีวิตอยู่ แม่ทำใจไม่ได้ แม่ก็ขอว่าไม่มาเยี่ยมลูกนะ เพราะว่ารับไม่ได้ แม่รับไม่ได้ที่จะมาเห็น ก็มีน้องสาวผม ซึ่งรักผมเหมือนพ่อ ส่งเขาเรียน เหมือนพ่อ เหมือนพี่ลาออก ตอนนั้นทำงานอยู่กรมคุมประพฤติ ลาออกมาเฝ้าผมตั้งแต่เช้ายันเวลาเลิกราชการกลับ ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยตลอด ก็น้องสาวคนนี้ ผมก็ถือว่าเขาเป็นทั้งน้องสาวเป็นทั้งลูก เป็นทั้งอะไรที่เสียสละมาก"

เปิดใจ‘พิชิต ชื่นบาน’ ลาออกเพื่อชาติ กลัว‘พวกทิ้ง’มากกว่า‘ทิ้งเก้าอี้’

"ผมไม่ได้ชั่วร้าย" บอกผู้พิพากษาตัดสินคดีถุงขนม 

วันเวลาผ่านมา 16 ปีจากคดีละเมิดอำนาจศาล ระหว่างทาง “พิชิต” ได้รับเลือกตั้งเป็น สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เมื่อปี 2554 เขามีโอกาสได้พบกับผู้พิพากษา 1 ใน 3 คนที่สั่งลงโทษจำคุกเขาเมื่อปี 2551 ซึ่งขณะนั้น "พิชิต" ทำหน้าที่ สส. โดยศาลยุติธรรม ได้เสนอแก้กฎหมาย เพื่อให้มีรองอธิบดีไปกำกับงานศาลในต่างจังหวัดได้ ระหว่างนั้นผู้พิพากษาที่เขาจำชื่อได้ขึ้นใจไปจนวันตาย ได้นำคณะผู้พิพากษามาชี้แจงต่อสภาฯ

"พิชิต" เล่าเหตุการณ์ที่ต้องพบกับผู้พิพากษาที่เคยตัดสินคดีละเมิดอำนาจศาลว่า "ผมก็ทำหน้าที่ สส. เป็นกรรมาธิการด้วยแก้กฎหมายเรื่องนี้ ก็ปรากฏว่ามีผู้พิพากษาท่านนั้น ที่ตัดสินคดีผม 1 ใน 3 ท่าน ผมไม่ขอเอ่ยชื่อ เพราะล่วงเกินท่าน เราก็ถือว่าถึงที่สุดแล้ว แต่พอท่านเป็นหัวหน้าคณะนำผู้พิพากษามาเพื่อชี้แจงกับ สส. ผมเป็นฝ่ายอภิปรายว่าสมควรที่สุดที่จะให้มีรองอธิบดีไปกำกับดูคดี เพื่อให้เกิดประโยชน์ยังประโยชน์แห่งความยุติธรรม เพราะเวลาผู้พิพากษาออกไปนั่งบัลลังก์ในต่างจังหวัด บางทีประสบการณ์อยู่กับครูอาจารย์ช่วงเวลาหนึ่งก็ต้องไป บางคนหนุ่มๆอยู่ สาวๆอยู่ ถ้ามีผู้พิพากษาผู้ใหญ่ไปกำกับก็เป็นเรื่องดี"

"ขณะมีการประชุมเสร็จในชั้นกรรมาธิการ ผมได้เดินไปบอกผู้พิพากษา ท่านนั้นที่เคยตัดสินผม ผมบอกขออนุญาตพูดอะไรคำหนึ่ง ด้วยความเคารพ จะเชียร์อภิปรายสนับสนุน แต่เรื่องส่วนตัวเดินไปหาท่านนี้"

"ผมขออนุญาตพูดว่า ชีวิตผมไม่ได้ชั่วร้ายอย่างที่ท่านวินิจฉัยผมนะ ท่านบอกมันจบแล้ว  ใช่ผมเข้าใจ ผมขอพูดแค่นี้ ก่อนแผ่นดินจะกลบหน้าผม ว่าชีวิตผมไม่ได้ชั่วร้ายอย่างที่ถูกวินิจฉัย"

"ผมถือว่า ผมยืนยันว่าในชีวิตเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีวาระซ่อนเร้น ชีวิตการทำงานผมทำงานจริงจัง คบได้จริงใจ อยู่ให้คนรัก จากให้คนคิดถึง ผมจะมีหลายสิ่งหลายอย่างกำกับจิต กำกับผม ผมเป็นคนพวกเยอะ ยอมรับพวกเยอะ ก็ทั้งเพื่อนทั้งฝูงอะไรต่างๆ  เพราะชีวิตพวกเยอะก็งานเยอะ ก็มีโอกาสได้พูดคำนั้น ผมก็โล่งหน่อย"

ความทรงจำ สส.สมัยแรก ปกป้องประมุขนิติบัญญัติ

ระหว่างเป็น สส.นั้น "พิชิต" ได้เล่าเหตุการณ์ความทรงจำตอนเป็น สส.สมัยแรกในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2555 ขณะนั้นมี "สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์" ทำหน้าที่ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ พ.ศ... เหตุการณ์ครั้งนั้นได้เกิดความวุ่นวาย สส.พรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายค้านขณะนั้นได้ลุกขึ้นประท้วงประธานสภา และเข้ากรูขึ้นไปถึงบนบัลลังก์ประธาน

"พิชิต"เล่าถึงเหตุการณ์ที่ตนเองต้องขึ้นไปทำหน้าที่ปกป้องประธานสภาฯ ว่า "พอดี ผมยืนอยู่กลางห้อง ผมไม่เคยชกกับใคร ไม่เคยมีเรื่องวิวาทกับใคร ผมเห็นขึ้นไป 3 คนจะไปลากเก้าอี้ท่านประธานสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ผมไม่รู้อะไรโดนจิตโดนใจ เดินขึ้นไป อันนี้มีภาพปรากฏทั่วไปในสังคมทุกวันนี้ ผมเดินขึ้นไปคนเดียว เอาตัวไปกันท่านี้ โอบท่านประธานไว้"

เปิดใจ‘พิชิต ชื่นบาน’ ลาออกเพื่อชาติ กลัว‘พวกทิ้ง’มากกว่า‘ทิ้งเก้าอี้’

"ท่านตกใจตัวสั่น ผมบอกท่านประธานปิดไมค์ก่อน ผมคนเดียว ปรากฏว่าหลังจากนั้นพักใหญ่ทางตำรวจรัฐสภา เพื่อนผู้แทนก็ค่อยกรูเข้ามาเพื่อกันออกไป กันประธานออกไป แต่ยังมีการลากเก้าอี้ เป็นเหตุการณ์ความรู้สึกผมไม่เคยเป็นผู้แทน ก็ช็อก เป็นความทรงจำเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นในสภาไทยได้ยังไง"

"หลังจากจบเหตุการณ์ตอนบ่ายรับโทรศัพท์ เต็มเลยทั้งเพื่อนเป็นตำรวจ เป็นทหาร แล้วหัวหน้าที่เคยอยู่เรือนจำ บอกว่า พี่ เข้าไปเอาหลังไปบังเดี๋ยวพี่โดนทุบ พี่ไม่หันหน้าเข้าเขาวิธีเข้าชาร์ต ผมบอกไม่รู้ ชกกับใครยังไม่เคยชกเลย ไม่นึกถึงชีวิตความปลอดภัยชีวิตตัวเองจะโดนอะไร แต่ถือว่าไปปกป้องประธานสภา ตอนนั้นท่านตกใจมาก ไม่ได้ดูถูกหรือดูหมิ่นท่านนะ ท่านตัวสั่นเลยฮะ ผมโอบกอดท่านอยู่ ท่านตกใจ ผมก็บอกท่านประธานปิดไมค์ก่อน"


เปิดใจ‘พิชิต ชื่นบาน’ ลาออกเพื่อชาติ กลัว‘พวกทิ้ง’มากกว่า‘ทิ้งเก้าอี้’

จากปี 2554 จนถึงปี 2567 “พิชิต” มารับตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี“เศรษฐา” กระทั่งได้รับแต่งตั้งเป็น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุด

เมื่อ 40 สว.สบจังหวะเดินเกมหลัง "พิชิต" ได้เป็นรัฐมนตรีทันที ยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญถึงสถานะความเป็นรัฐมนตรีของ “เศรษฐา” โดยมี “พิชิต” เป็นต้นเหตุแห่งคำร้อง

 “เรื่องนี้ผมตีความได้หมด ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ วัดกันตรงไหน มีอะไรวัด เป็นเรื่องนามธรรม ในชั้นร่างรัฐธรรมนญูมีกรรมาธิการหลายรายทักท้วงนะ เขียนเรื่องซื่อสัตย์สุจริตที่ประจักษ์ไว้ จะเป็นการกลั่นแกล้งกล่าวหาทางการเมืองนะ เลือกที่รักมักที่ชัง พอมีคนจะตั้งรัฐมนตรี ก็มีคนมาชี้หน้าว่า คนนี้ไม่ซื่อสัตย์ เอาความรู้สึกความคิดอะไร ความเกลียดความไม่ชอบ โดยไม่มีเกณฑ์จะวัดเหมือนปรอท”

"พิชิต"  ย้ำว่า "ผมเองไม่เคยทำผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา ไม่เคยลัก วิ่งชิงปล้น ไม่เคยฉ้อโกงใคร ร่างกาย ชีวิตร่างกายไม่เคยทำร้าย ตีใคร แล้วก่อนได้รับการเสนอชื่อรัฐมนตรี ก็ตรวจประวัติผมไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรวจหลายหน่วยงาน ตรวจทั้งกรมบังคับคดี เป็นบุคคลล้มละลายไหม อันนี้เป็นเกณฑ์วัด ถ้าต้องคดีเกี่ยวทรัพย์  ตามประมวลกฎหมายคดีอาญา ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกงอะไรต่างๆ  มันจะพอวัดได้ว่า คนนี้เป็นคนไม่ซื่อสัตย์มาก่อน"

"ของผมเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล เป็นความผิดที่มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นมาตรฐานว่าเป็นมาตรการตามกฎหมายสบัญญัติ ไม่ถือเป็นความผิดทางอาญา เพราะฉะนั้นผมไม่เคยถูกต้องคดีอาญา"

อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ ระบุว่า "เรื่องที่ผมไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ก็มันมีข้อกังขา อยู่ว่าเหตุการณ์นั้นคำสั่งศาล (ละเมิดอำนาจศาล) นั้นมีข้อสังเกตหลายประการต่างๆ แล้วมันเป็นเรื่องมาตรการทางแพ่ง จะมาวัดเรื่องความซื่อสัตย์ก็ไม่ได้"

"ที่บอกให้ถามกฤษฎีกา ทำไมไม่ถามข้อนี้ กฤษฎีกาก็ตอบไม่ได้หรอกครับ ก็ไม่แปลกอะไรที่ ท่านเลขาฯ บอกว่าให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ผมว่าศาลรัฐธรรมนูญต้องวางหลักวางเกณฑ์กัน ด้วยความเคารพ ผมไม่ก้าวล่วง"

เปิดใจ‘พิชิต ชื่นบาน’ ลาออกเพื่อชาติ กลัว‘พวกทิ้ง’มากกว่า‘ทิ้งเก้าอี้’

ปัดตอนคดีศาล รธน. ลาออกเหตุมาจาก "ผม"

 “พิชิต” บอกว่า “ใครจะมองผมว่าจะมาตัดตอนหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมไม่ได้คิดหรอก ผมคิดแต่ว่า นายกฯ เศรษฐาต้องอยู่ ผมถึงบอกว่าผมเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกฯ เศรษฐา ผมก็เลยลาออกจากรัฐมนตรี ก็เหตุมาจากผม ผมคิดอย่างเดียวว่าจะเซฟ หรือตัดตอนอะไร ผมดับที่เหตุ ก็เหตุมาจากผม ผมก็ต้องมีจิตสำนึก สปิริตมีความรับผิดชอบ เมื่อเหตุมาจากผมก็ไม่สมควรจะอยู่ ถ้าอยู่แล้วทำงานทำให้เสีย อยากให้ท่านทุ่มเทสรรพกำลังทำงานให้ประเทศชาติ

ถามว่า ทำงานเป็นรัฐมนตรีเพียง 23-24 วันเสียดายหรือไม่ “พิชิต” ระบุว่า “ไม่ยึดติด ตำแหน่งมาอยู่ 1-2 ปี อยู่กี่เดือน ก็ไม่เที่ยง แต่ตำนานที่เราได้ทำอะไรไว้แก่ชาติบ้านเมืองสำคัญกว่า นี่คือสำนึกในชีวิตผม ผมลาออกวันนี้ ผมไม่ได้มีความเดือดเนื้อร้อนใจเลยนะครับ กลางคืนนอนหลับปุ๋ย”

ถามย้ำว่า ปิดโอกาสการเข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีในอนาคตหรือไม่ “พิชิต” บอกว่า “ความรู้สึกผมไม่ยึดติด ขออยู่กับปัจจุบัน ตอนนี้กลับมาตัวตน พิชิต ชื่นบาน คนเดิม มีถามผมว่าเป็นรัฐมนตรีสายล่อฟ้า ผมไม่ได้เป็นรัฐมนตรีสายล่อฟ้า ผมเป็นพิชิต ชื่นบาน ใครรู้จักผมทำงานกับผมจะรักผม”

“ผมอยู่ตรงไหนก็ได้ ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน ทำงานจริงจัง คบได้จริงใจ อยู่ให้คนรัก จากให้คนคิดถึง นี่คือคติประจำใจผม ตอนนี้ผมไม่ได้เหงา ไม่ได้รู้สึกเสียใจ วันข้างหน้าไม่ต้องถามผม ผมสบายๆ”

ท้ายื่นคำร้อง "พิชิต"คนเดียว เชื่อมีข่าวล้มนายกฯ

เมื่อองคาพยพฝั่งตรงข้ามยังไว้วางใจไม่ได้ มีการเคลื่อนเกมโค่นล้มรัฐบาล “พิชิต” อาจเป็นเป้ารอง แต่เป้าหลักคือโค่นนายกฯ “พิชิต” ยืนยันว่า “พอมีมูล ผมถึงพูดถึงเรื่องวงจรอุบาทว์ แต่ก็คงจะมีหรือไม่มี แต่การข่าวของผมมีมููลว่า มีเรื่องไม่ปกติ ถ้าติดใจผม ท่านนายกฯท่านผิดอะไร ท่านไม่ได้ทำอะไรผิด ท่านแต่งตั้งผม เอากันแฟร์ๆ มายื่นคำร้องกับผมสิ มาตรวจสอบคนเดียว ผมจะดู การยื่นครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ จะได้รับโอกาสพิจารณาอีกครั้ง”

“พอลากท่านนายกฯ ผมเห็นความไม่ปกติ แต่ความเป็นนักกฎหมาย อายุผม 66 ปีแล้ว ผมทำงานมาต่อเนื่อง ติดต่อกันโดยตลอด ไม่เคยหยุดในชีวิต การที่นายกฯ เศรษฐา ประสบชะตากรรมไม่ใช่ไม่ช่วยท่านนะ ผมต้องโดดจากเรือ ให้ท่านพายเรือต่อไปได้ นำรัฐนาวาต่อไปได้ ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน”

"การลาออกครั้งนี้ ทำงานเพื่อชาติ ตำแหน่งเป็นเรื่องชั่วคราว จำไว้นะครับ ตำนานเป็นเรื่องยาวนาน ผมสร้างมาตรฐานครั้งนี้เป็นตำนานว่า ถ้ามีประเด็นปัญหาทำให้ ครม. นายกฯมีปัญหา ประเทศชาติสะดุด ผมลาออกเพื่อชาติ เลยเขียนใบลาออกไปดูเหตุผลผม ก้นบึ้งในหัวใจ”

เปิดใจ‘พิชิต ชื่นบาน’ ลาออกเพื่อชาติ กลัว‘พวกทิ้ง’มากกว่า‘ทิ้งเก้าอี้’

คำร้องศาลรัฐธรรมนูญ ได้เดินหน้าวินิจฉัยคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของ “เศรษฐา” แล้ว โดย “พิชิต”บอกว่า "เป็นดุลพินิจของศาล ผมไม่ก้าวล่วง  ไม่ควรตั้งสมมติฐานแทนว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้  เมื่อเรื่องอยู่ที่ศาลต้องเคารพดุลพินิจของศาลท่าน แต่เรื่องส่วนตัวผม ผมดับที่เหตุแล้ว"

“ผมร้องขอและวิงวอนเลยว่าในใบลาออก ปัญหาประเทศยังกองอยู่มากมายไม่ควรมีอะไรทำให้เกิดการสะดุด หรือหยุดการปฏิบัติหน้าที่ นี่ผมพูดตามจิตสำนึก ไม่ได้ก้าวล่วงองค์กรใด ท่านนายกฯ เศรษฐาตั้งใจสูงมาก ท่านเป็นคนจริงจัง ท่านมีไฟตัวเองมาก ให้โครงการต่างๆ ได้เดินหน้า”

รัก-เคารพ "นายกฯ ยิ่งลักษณ์" เมตตา "พิชิต"

ถามถึงภารกิจของ “พิชิต” มาเป็นรัฐมนตรีครั้งนี้ถูกมองว่ามีภารกิจสำคัญพา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกฯ กลับประเทศ ทำให้ “พิชิต” บอกว่า 

“โอ๊ย...คนพูดกันไม่รู้หลักเกณฑ์กฎหมายบ้านเมือง ตัวผมจะทำอะไรได้ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รัฐมนตรีทำอะไรได้ มันก็แค่ทำได้ที่ปรึกษากฎหมาย พอถ้าท่านจะกลับ เครื่องบินลงจอดเสร็จ ท่านก็หมดอิสรภาพแล้ว เพราะท่านจะถูกตำรวจเอาหมายไปควบคุมตัว เสร็จก็ส่งไปศาล ศาลจะออกใบแดงแจ้งโทษ เสร็จท่านก็อยู่ในความดูแลกรมราชทัณฑ์แล้ว ถามว่าพิชิต ชื่นบาน ช่วยอะไรได้”

“เราเคารพการตัดสินใจของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ท่านเป็นบุคคลที่ผมให้ความเคารพด้วยชีวิตเลยก็ได้ เพราะท่านมีเมตตากับผม ท่านเป็นคนไม่มีวาระซับซ้อน ตรงไปตรงมา จิตใจดี ท่านเป็นคนมีบุญคุณในชีวิตผม ผมก็ต้องพูดเรื่องจริงเท่านั้น ท่านกลับมาต้องเจออย่างนี้นะ ผมจะไปโกหกท่านได้อย่างไร”

“ผมจะกลัวที่สุดในชีวิต พรรคพวกทิ้งผม มากกว่าตำแหน่ง ผมถึงคิดว่าตำแหน่งเป็นเรื่องชั่วคราว ตำนานเป็นเรื่องยืนยาวกว่า ก่อนดินจะกลบหน้าผม ผมถือว่าต้องสร้างตำนาน แม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นเรื่องใหญ่ของผม การตัดสินใจของผมทำให้ประเทศชาติ ประชาชน มีความสุขด้วย” พิชิต ทิ้งท้าย

เปิดใจ‘พิชิต ชื่นบาน’ ลาออกเพื่อชาติ กลัว‘พวกทิ้ง’มากกว่า‘ทิ้งเก้าอี้’