กยท.ตั้งเป้า 2 ปี ไทยกำหนดราคายางโลก เร่งขับเคลื่อนแผนรองรับ
ราคายางพุ่งเฉียด 3 หลัก กยท.เดินหน้าสร้างเสถียรภาพ พัฒนายางพาราไทย ตั้งเป้าไทยขยับเป็นผู้กำหนดราคายางโลกให้ได้ภายใน 2 ปี เร่งขับเคลื่อนแผนรองรับทั้งการสร้างมาตรฐานราคาอ้างอิงให้เป็นสากล สร้างมาตรฐานสินค้า เพิ่มปริมาณการใช้ พร้อมชูจุดเด่นยางไทยผ่านกฎเหล็ก EUDR
ดร.เพิก เลิศวังพง ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (ประธานบอร์ด กยท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคายางของไทยเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากการขับเคลื่อนนโยบายด้านยางพาราของรัฐบาลมีประสิทธิภาพ เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง ประกอบกับมีความต้องการใช้ยางเพิ่มมากขึ้น ซึ่ง กยท.ได้ตั้งเป้าที่จะผลักดันให้ไทยเป็นประเทศผู้กำหนดราคายางโลกให้ได้ภายใน 2 ปี เนื่องจากไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกยางพารารายใหญ่ที่สุดของโลก จึงควรเป็นประเทศผู้กำหนดราคาเอง และทุกประเทศที่ซื้อขายยางจะต้องใช้ราคายางประเทศไทยเป็นราคาอ้างอิง
ทั้งนี้ การที่ประเทศไทยจะสามารถกำหนดราคายางได้เองนั้น ต้องมีแผนรองรับ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างมาตรฐานราคาอ้างอิงยางพาราของไทย ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งก่อนหน้านี้ กยท.ร่วมกับบริษัท ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือTFEX ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในการพัฒนาการคำนวณราคายางพารา เพื่อเป็นราคาอ้างอิงของไทย (Rubber Reference Price) สำหรับซื้อขายยางเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ ที่มีมาตรฐาน โปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นที่ยอมรับของผู้ประกอบการและผู้เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว
“ขณะนี้ได้มีการประกาศราคาอ้างอิงยางพาราของไทยมาเป็นระยะเวลากว่า 3 เดือนแล้ว แม้จะมีผู้ประกอบการยางพารานำราคาอ้างอิงของไทยไปใช้ยังไม่มากนัก แต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี เนื่องจากในอดีตไม่เคยมีมาก่อน ที่สำคัญมีผู้ค้ารายใหญ่ที่เคยใช้ราคาอ้างอิงจากตลาดซื้อขายยางพาราล่วงหน้าในประเทศสิงคโปร์ (SICOM) ตลาดซื้อขายยางพาราล่วงหน้าในประเทศญี่ปุ่น (TOCOM) และตลาดซื้อขายยางเซี่ยงไฮ้ประเทศจีน (SHFE) เริ่มหันมาใช้ราคาอ้างอิงของไทยในการซื้อขายยางแล้ว คาดว่าในอนาคตจะมีการนำไปอ้างอิงเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน” ประธานบอร์ด กยท. กล่าว
ประธานบอร์ด กยท. กล่าวอีกว่า การคำนวณราคาอ้างอิงยางพาราดังกล่าว กยท. จะเป็นผู้รวบรวมข้อมูลฐานของราคายางและผลิตภัณฑ์ยางพาราชนิดต่างๆ รวมถึงปริมาณยางและข้อมูลจำเป็นอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดกลางยางพาราทั้ง 8 แห่ง และตลาดประมูลยางพาราท้องถิ่นของ กยท.กว่า 500 แห่งทั่วประเทศ ที่ได้นำระบบการซื้อขายประมูลยางพารารูปแบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม “Thai Rubber Trade (TRT)” มาใช้ เพื่อส่งให้ทาง TFEX ซึ่งเป็นหน่วยงานกลาง ใช้คำนวณราคาอ้างอิง โดยจะพิจารณาจากราคาวัตถุดิบ ต้นทุนการผลิต รวมค่าขนส่งและปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย จึงเป็นราคาอ้างอิงยางพาราที่เป็นธรรมและสอดคล้องกับสถานการณ์จริง
ด้านนายสุขทัศน์ ต่างวิริยกุล รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า การที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นประเทศผู้กำหนดราคายางโลกนั้น นอกจากการสร้างมาตรฐานราคาอ้างอิงยางพาราของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลแล้ว ยังจะต้องยกระดับมาตรฐานสินค้า และส่งเสริมการใช้ยางในประเทศเพิ่มขึ้นควบคู่ไปด้วย ที่ผ่านมา กยท.ได้ดำเนินโครงการต่างๆ หลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ โครงการสนับสนุนและส่งเสริมสถาบันเกษตรกรแปรรูปผลิตภัณฑ์จากยาง โครงการทำถนนดินซีเมนต์ผสมยางพารา เป็นต้น
ล่าสุด กยท. เตรียมลงนามกับบริษัทเอกชนผู้ผลิตยางรายใหญ่ เพื่อผลิตยางการผลิตยางล้อ Greenergy Tyre ซึ่งเป็นยางที่ได้มาตรฐานสากล มีการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ทันสมัยมาใช้ในการผลิต ทำให้ยึดเกาะถนนดีเยี่ยม มีความนุ่มนวล มีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากกว่า 50,000 กิโลเมตร และยังให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมตลอดขบวนการผลิต โดยได้เปิดตัวไปแล้วก่อนหน้านี้ ปรากฎว่าได้รับความสนใจอย่างมาก จนถูกสั่งจองจากทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนในล็อตแรกกว่า 20,000 เส้น
นอกจากนี้ การที่สหภาพยุโรปได้ประกาศบังคับใช้กฎระเบียบ EU Deforestation-free Products Regulation (EUDR) ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป ยังจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญ ที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางยางพารา และเป็นผู้กำหนดราคายางตลาดโลก เนื่องจากประเทศไทยเป็นเพียง 1 ใน 2 ประเทศผู้ส่งออกยางรายใหญ่ ที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาตามกฎระเบียบของ EUDR ได้ ซึ่งกยท. มีนโยบายหลักที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรชาวสวนยางทำการเกษตร ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเพื่อก้าวสู่วิถีเกษตรยั่งยืน และให้ความสำคัญกับการจัดการข้อมูลยางให้เป็นไปตามกฎระเบียบ EUDR
โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มปริมาณยาง EUDR จากปัจจุบัน 1 ล้านตัน เป็น 2 ล้านตันภายในปี 2568 และ 3.5 ล้านตันในปีถัดไป ในขณะที่สหภาพยุโรปมีความต้องการยางพาราถึง 4 ล้านตัน โดยผู้ประกอบการที่นำยางพาราไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ส่งไปขายในตลาดสหภาพยุโรป ก็จะต้องดำเนินการตามกฎ EUDR ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการเหล่านี้มาซื้อยางจากประเทศไทย เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้นยางพาราของไทยจะเป็นที่ต้องการของตลาดโลกอย่างแน่นอน
“การกำหนดราคาอ้างอิงยางพาราของไทย การยกระดับมาตรฐานสินค้า การเพิ่มปริมาณยางเพิ่มปริมาณการใช้ยางภายในประเทศ การทำสวนยางที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเพื่อก้าวสู่วิถีเกษตรยั่งยืน และการบังคับให้กฎระเบียบ EUDR จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะการยกระดับให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางพารา และเป็นผู้กำหนดราคายางโลก ตามเป้าหมายได้อย่างแน่นอน” รักษาการแทน ผู้ว่าการ กยท. กล่าว