กรมชลฯ ต่อยอดโครงการ 2 ลุ่มน้ำ ป้องกันบรรเทาอุทกภัยชุมพร ตามแนวพระราชดำริ
กรมชลประทาน ต่อยอดปรับปรุงโครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพร 2 ลุ่มน้ำ ท่าตะเภา คลองชุมพร ให้แล้วเสร็จ เพื่อป้องกัน บรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพร ตามแนวพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 และพระราชปณิธาน สืบสาน รักษา ต่อยอด ของในหลวงรัชกาลปัจจุบัน
จังหวัดชุมพร เป็นอีกพื้นหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากอิทธิมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังค่อนข้างแรง ที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณภาคใต้ตอนล่าง เคลื่อนลงสู่ทะเลอันดามัน ทำให้ในภาคใต้ในช่วงกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ กับมีฝนตกหนักมากบางแห่ง อีกทั้งฝนยังตกสะสม
สถานการณ์ในครั้งนี้ แม้จะทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ตั้งแต่ อ.ท่าแซะ อ.ปะทิว อ.เมืองชุมพร อ.สวี อ.ทุ่งตะโก อ.หลังสวน อ.ละแม ไปจนถึง อ.พะโต๊ะ โดยเฉพาะบริเวณถนนสายเอเชีย 41 บริเวณสี่แยกปฐมพร และพื้นที่ใกล้เคียงก็ตาม แต่โครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยตามแนวพระราชดำริ 2 โครงการ คือ โครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพร ลุ่มน้ำท่าตะเภา และ โครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพร ลุ่มน้ำคลองชุมพร สามารถช่วยบริหารจัดการน้ำและควบคุมสภาวะวิกฤติในช่วงน้ำหลากได้เป็นอย่างดี
ทำให้การระบายน้ำจากพื้นที่ลุ่มในตัวเมืองชุมพร ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก และพื้นที่น้ำท่วมบริเวณถนนสายเอเชีย 41 ซึ่งเป็นเส้นทางสายหลักลงสู่ภาคใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถลดระดับความลึกของน้ำและระยะเวลาที่น้ำท่วมขังได้อย่างรวดเร็ว
พื้นที่ตั้งจังหวัดชุมพร อยู่บนแหลมมลายู ระหว่างทะเลอันดามันและอ่าวไทย สภาพภูมิประเทศทิศตะวันตกเป็นพื้นที่สูงมีเทือกเขาตะนาวศรีกั้นพรมแดนไทย-เมียนมา และเทือกเขาภูเก็ต ตอนกลางเป็นพื้นที่ราบลุ่ม และทิศตะวันออกเป็นพื้นที่ราบชายฝั่งทะเล ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตลอดปี
โดยเฉพาะฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-ตุลาคม จะได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ผ่านทะเลอันดามัน และเดือนพฤศจิกายน-มกราคม ได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดผ่านอ่าวไทยเข้าสู่ภาคใต้ ซึ่งเป็นมวลอากาศที่มีความชื้นสูง เมื่อปะทะแนวเทือกเขาตะนาวศรี และเทือกเขาภูเก็ต จึงทำให้ฝนตกชุกตลอดพื้นที่ บางครั้งเกิดพายุไต้ฝุ่นและพายุโซนร้อนพัดผ่านจังหวัด จะยิ่งทำให้เกิดฝนตกหนักมากทั่วทุกพื้นที่ น้ำในคลองต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ราบลุ่มตอนกลาง และพื้นที่ราบชายฝั่งทะเล เฉพาะอย่างยิ่งในเขตตัวเมืองชุมพร เป็นประจำเกือบทุกปี
ดังปรากฏเหตุการณ์อุทกภัยครั้งสำคัญ เมื่อปี 2532 พายุไต้ฝุ่นเกย์พัดกระหน่ำชายฝั่งทะเลบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออก บริเวณ จ.ชุมพร และปี 2540 เกิดพายุโซนร้อนซีต้า ทั้ง 2 เหตุการณ์ทำให้เกิดฝนตกหนัก มีปริมาณน้ำหลากลงคลองท่าตะเภา ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านตัวเมือง และมีความจุลำน้ำผ่านเพียง 350 ลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) ต่อวินาที ในอัตราที่มากกว่า 1,000 ลบ.ม.ต่อวินาที จึงเกิดน้ำท่วมฉับพลันไหล บ่าเข้าท่วมพื้นที่ตัวเมืองชุมพร สร้างความเสียหายแก่ชีวิต ทรัพย์สิน และพื้นที่การเกษตรของราษฎรมากกว่า 150,000 ไร่
นายนรเศรษฐ สองทอง ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 14 กรมชลประทาน เปิดเผยว่า ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิต ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงรับทราบปัญหา และผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2541 ครั้งเสด็จทอดพระเนตรโครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ ต.บางลึก อ.เมือง จ.ชุมพร และโครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพรได้พระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับงานชลประทาน และพระราชดำริเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยใน จ.ชุมพร ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น รวม 5 ข้อ ดังนี้
1. ควรพิจารณาก่อสร้างอาคารบังคับน้ำ ปิดต้นคลองและปลายคลองที่ขุดในบริเวณหนองใหญ่ เพื่อเก็บน้ำไว้ให้ราษฎรใช้ทำการเกษตรในฤดูแล้ง
2. ควรจัดตั้งสถานีวัดระดับน้ำเพิ่มเติม พร้อมระบบเตือนภัย ที่บริเวณต้นน้ำคลองท่าแซะซึ่งอยู่ในเขต อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากหนองใหญ่ลงคลองระบายน้ำหัววัง-พนังตัก ทิ้งลงทะเลเป็นการล่วงหน้า จะทำให้หนองใหญ่สามารถรองรับน้ำที่ไหลหลากลงมาใหม่ ได้อีกเป็นจำนวนมาก การรับน้ำหลากลงหนองใหญ่แล้วทยอยระบายทิ้งทะเล มีลักษณะเดียวกับลิงอมกล้วยไว้ที่กระพุ้งแก้ม แล้วจึงค่อย ๆ กลืนกล้วยลงกระเพาะอาหาร
3.ควรพิจารณาขุดคลอง หรือวางท่อเชื่อมต่อระหว่างคลองท่าแซะกับต้นคลองละมุ เพื่อชักน้ำจากคลองท่าแซะลงหนองใหญ่ ให้ราษฎรบริเวณใกล้เคียงมีน้ำใช้ทำการเกษตร และอุปโภค-บริโภค และในฤดูน้ำหลากสามารถช่วยผันน้ำบางส่วนจากคลองท่าแซะลงแก้มลิง“หนองใหญ่” เพื่อระบายทิ้งทะเล ผ่านทางคลองระบายน้ำหัววัง-พนังตักได้อีกด้วย
4. ควรติดตั้งเครื่องสูบน้ำที่บริเวณประตูระบายน้ำราชประชานุเคราะห์ 1, 2 และ 3 เพื่อช่วยสูบน้ำออกจากหนองใหญ่ ลงคลองระบายน้ำหัววัง-พนังตัก ทิ้งลงทะเลในช่วงฤดูน้ำหลาก ทำให้สามารถลดปริมาณน้ำในคลองท่าตะเภาที่ไหลผ่านตัวเมืองชุมพรลงได้ในระดับหนึ่ง
5. ควรศึกษาหาปริมาณน้ำท่าที่แน่นอน ที่ไหลในคลองท่าตะเภา ณ บริเวณบ้านปากแพรก (ด้านท้ายคลองท่าแซะบรรจบกับคลองรับร่อ) ต.นากระตาม อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาการแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่เกิดกับเมืองชุมพร
นอกจากนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ยังมีพระราชดำรัสเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2542 สรุปความว่า ให้พิจารณาขุดคลองละมุ ให้เชื่อมคลองท่าแซะกับหนองใหญ่ เพื่อช่วยแบ่งน้ำส่วนหนึ่งจากคลองท่าแซะลงสู่หนองใหญ่ จากนั้นเมื่อระดับน้ำในคลองหัววัง-พนังตักลดระดับลง จึงค่อย ๆ ปล่อยน้ำจากหนองใหญ่ระบายลงคลองหัววัง-พนังตัก และไหลลงสู่ทะเล
“กรมชลประทานได้น้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิต ดังกล่าว มาวางแนวทางการป้องกันแก้ไขปัญหาและบรรเทาอุทกภัย โดยได้ดำเนินโครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพร ให้ลุ่มน้ำหลักที่สำคัญ 2 สาย ได้แก่ ลุ่มน้ำคลองท่าตะเภา และลุ่มน้ำคลองชุมพร”
ผอ.สำนักงานชลประทานที่ 14 กล่าวอีกว่า สำหรับลุ่มน้ำคลองท่าตะเภา กรมชลประทานได้ดำเนินโครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพร ลุ่มน้ำท่าตะเภา โดยมีระบบควบคุมการบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริ สามารถบริหารจัดการน้ำได้ 1,150 ลบ.ม.ต่อวินาที (ไม่รวมปริมาณน้ำจากคลองรับร่อ) โดยระบายน้ำ/ผันน้ำ ผ่านประตูระบายน้ำ(ปตร.) คลองท่าแซะ คลองละมุ หนองใหญ่ ปตร.ราชประชานุเคราะห์ 1, 2, 3 ท่อระบายน้ำหนองใหญ่ ปตร.คลองหัววัง ปตร.คลองพนังตัก ปตร.สามแก้วใหม่ และ ปตร.คลองท่าตะเภา ตามลำดับ ไม่ให้เกิน 350 ลบ.ม.ต่อวินาที ปัจจุบันโครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพร ลุ่มน้ำท่าตะเภาตามแนวพระราชดำริได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ส่วนลุ่มน้ำคลองชุมพร กรมชลประทานได้ดำเนินโครงการป้องกัน และบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพร ลุ่มน้ำคลองชุมพร ซึ่งคลองชุมพรนั้นมีขีดความสามารถในการระบายน้ำได้ไม่เกิน 150 ลบ.ม.ต่อวินาที แต่ในรอบ 25ปี การเกิดน้ำท่วม มีปริมาณน้ำไหลหลากผ่านคลองชุมพรสูงถึง 550 ลบ.ม.ต่อวินาที จึงส่งผลให้ปริมาณน้ำในคลองชุมพรเอ่อล้นตลิ่ง ตั้งแต่วัดเขาปูน ข้ามถนนสายเอเชีย 41 บริเวณสี่แยกปฐมพร ไหลผ่านตัวเมืองชุมพรในเขตพื้นที่ ต.วังไผ่ ต.บ้านนา ต.ขุนกระทิง ต.บางหมาก ต.ตากแดด ต.ทุ่งคา และหากเป็นช่วงระยะเวลาที่มีน้ำทะเลหนุนสูง จะยิ่งเอ่อล้นตลิ่ง เข้าสู่พื้นที่ลุ่มต่ำ แช่ขังเป็นเวลา 3-7 วัน ทำให้ประชาชนประสบความเสียหายและเดือดร้อน พอถึงช่วงฤดูแล้งก็จะได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำเค็มหนุนรุกล้ำเข้าคลองเป็นประจำทุกปี ปีละหลาย ๆ ครั้ง
ทั้งนี้ โครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพรลุ่มน้ำคลองชุมพร ตามแนวพระราชดำริ ประกอบด้วยงานสำคัญๆ ได้แก่ ปตร.คลองชุมพรตอนบน ปตร.ปากคลองขุดใหม่เชื่อมคลองชุมพร-คลองนาคราช คลองผันน้ำขุดขยายคลองนาคราช ขุดลอกคลองชุมพรเดิม ปตร.ตอนกลาง และขุดขยายคลองชุมพรช่วงปลาย ปัจจุบันผลงานภาพรวมทั้งโครงการประมาณ 95.75% จะดำเนินการเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2570
“แม้โครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพร ลุ่มน้ำคลองชุมพร ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ แต่โครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพรทั้ง 2 โครงการดังกล่าว ได้ช่วยระบายน้ำที่ท่วมซ้ำซากในตัวเมือง และบริเวณถนนสายเอเชีย 41 ตลอดจนพื้นที่ใกล้เคียงได้อย่างรวดเร็ว ลดระดับความลึก และระยะเวลาที่น้ำท่วมขังในพื้นที่และพื้นที่การเกษตร ทำให้ความเสียหายลดลงอย่างมาก รวมทั้งยังช่วยผลักดันน้ำเค็มที่รุกล้ำพื้นที่การเกษตรกรรมและช่วยรักษาคุณภาพน้ำ ระบบนิเวศด้านท้ายน้ำ ระบบสิ่งแวดล้อมบริเวณชุมชนเมือง โดยการบริหารจัดการน้ำและระบายน้ำผ่าน ปตร.คลองท่าตะเภา คลองสามแก้ว คลองหัววัง-พนังตัก ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม”
นายนรเศรษฐ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ โครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพร ทั้ง 2 โครงการ ยังจะเป็นแหล่งสำรองน้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปาเพื่อการอุปโภค-บริโภค รองรับการใช้น้ำในจังหวัดชุมพรที่มีแนวโน้มความต้องการใช้เพิ่มขึ้นในอนาคต รวมไปถึงเป็นแหล่งเก็บกักน้ำสำรองช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรในฤดูแล้งอีกด้วย
ตั้งแต่ปี 2541 จนถึงปัจจุบัน โครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพรตามแนวพระราชดำริ สามารถป้องกันและบรรเทาอุทกภัยในเขตตัวเมืองชุมพรและพื้นที่ใกล้เคียง ลดความสูญเสียในชีวิต ทรัพย์สินทางการเกษตร เศรษฐกิจและสังคม คิดเป็นมูลค่ามหาศาลยกฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนในเขตพื้นที่ อ.เมืองชุมพร ส่งผลให้ประชาชนดำรงชีวิตด้วยความสุข มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
โดยกรมชลประทานจะได้ดำเนินการต่อยอดปรับปรุงโครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพร ลุ่มน้ำท่าตะเภา และเร่งรัดดำเนินโครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพร ลุ่มน้ำคลองชุมพร ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้การป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพรเสร็จสมบูรณ์ตามแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 และพระราชปณิธาน สืบสาน รักษา ต่อยอด ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน