สทนช. ขับเคลื่อน 9 มาตรการรับฤดูฝน 2568 เฝ้าระวังเหนือ-ตะวันออก

สทนช.เกาะติดแก้ปัญหาแล้ง มั่นใจไม่มีพื้นที่ประสบภัยเพิ่ม บูรณาการทุกหน่วยขับเคลื่อน 9 มาตรการรับมือฤดูฝน 2568 เฝ้าระวัง ภาคเหนือ ตะวันออก คาดฝนหนัก
นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยหลังเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 3/2568 โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมน้ำปิง ชั้น 4 อาคารจุฑามาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
โดยระบุว่า สทนช.ได้ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตาม 8 มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2567/2568 ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการทั้งในเชิงป้องกัน และรับมือมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ สถานการณ์ในช่วงฤดูแล้งปีนี้ แม้ว่าอ่างเก็บน้ำในหลายพื้นที่จะสามารถกักเก็บน้ำต้นทุนไว้ได้เป็นจำนวนมากในช่วงฤดูฝนปีที่ผ่านมา เช่น ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เป็นต้น แต่ยังคงมีพื้นที่บางแห่งที่มีฝนตกน้อย ส่งผลให้ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ
โดยนับตั้งแต่เข้าสู่ฤดูแล้งเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 จนถึงปัจจุบัน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ประกาศเขตให้ความช่วยเหลือภัยแล้ง ซึ่งประสบปัญหาขาดแคลนน้ำด้านการเกษตร ส่งผลให้พื้นที่การเกษตรบางส่วนได้รับความเสียหายใน 2 จังหวัด 10 อำเภอ 15 ตำบล ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี 3 อำเภอ 5 ตำบล ได้เข้าช่วยเหลือโดยใช้เงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยครบทุกพื้นที่แล้ว และจังหวัดบุรีรัมย์ 7 อำเภอ10 ตำบล ขณะนี้ ปภ.อยู่ระหว่างการสำรวจและพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพื่อเร่งบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนโดยเร็ว
สำหรับอ่างเก็บน้ำที่มีน้ำน้อย โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำลำตะคอง จ.นครราชสีมา ซึ่งมีปริมาณน้ำเพียง 19% ของความจุ ได้มีการวางแผนบริหารจัดการน้ำมาตั้งแต่ช่วงต้นฤดูแล้งเพื่อป้องกันความเสี่ยงขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค โดยการประปาส่วนภูมิภาคและเทศบาลนครนครราชสีมาจะดำเนินการนำน้ำจากลำน้ำมูลและอ่างเก็บน้ำลำแชะ มาช่วยสนับสนุนการผลิตประปาให้ตัวเมืองนคราชสีมาอย่างเต็มศักยภาพ
ปัจจุบันยังเหลือระยะเวลาก่อนจะสิ้นสุดฤดูแล้งอีกประมาณ 1 เดือน คือในช่วงเดือนเมษายนนี้ ซึ่งมีแนวโน้มจะ
เกิดพายุฤดูร้อนและมีฝนค่อนข้างมาก โดยจากการประเมินสถานการณ์คาดว่าจะไม่มีพื้นที่ประสบภัยแล้งเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงให้ความสำคัญในการลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และดำเนินการเชิงรุกเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่
ขณะเดียวกัน ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลประกาศแจ้งเตือนพายุฤดูร้อนในแต่ละพื้นที่จากกรมอุตุนิยมวิทยา โดยเฉพาะภาคเหนือที่มีแนวโน้มได้รับอิทธิพลของพายุมากที่สุด
ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนเมษายนไปจนถึงปลายฤดูฝนจะต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษในพื้นที่ภาคเหนือ ฝั่งตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก เป็นพิเศษ เนื่องจากคาดว่าจะมีปริมาณฝนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งยังมีแนวโน้มที่จะมีฝนตกมากบริเวณภาคใต้ในช่วงฤดูฝนของภาคใต้เช่นเดียวกัน
โดยเบื้องต้นคาดว่าในปีนี้มีโอกาสที่จะมีพายุจรเข้ามาสู่ประเทศไทยประมาณ 1 - 2 ลูก ซึ่งหน่วยงานได้เร่งดำเนินงานตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 เพื่อเตรียมพร้อมรับมืออย่างเคร่งครัด
เลขาธิการ สทนช.กล่าวต่อว่า ในการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการภายใต้แผนบูรณาการการแจ้งเตือนอุทกภัยทั้งระบบ และแผนยุทธศาสตร์ประชาสัมพันธ์ทรัพยากรน้ำในสภาวะวิกฤติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากอุทกภัยและดินโคลนถล่ม ช่วยลดความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และให้ สทนช.เสนอต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.)เพื่อพิจารณามอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการ
นอกจากนี้ ยังได้พิจารณาให้ความเห็นต่อผังน้ำลุ่มน้ำปิง โดยมีมติเห็นชอบในหลักการ และเห็นควรให้ สทนช.เสนอผังน้ำลุ่มน้ำปิงต่อ กนช. พิจารณาเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา และใช้เป็นเครื่องมือบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ อย่างยั่งยืนต่อไป