โรงงานยางแผ่นรมควันขาดทุนหนัก หลายแห่งเริ่มขาดสภาพคล่องทางการเงิน เนื่องจากราคายางพาราตกต่ำ
(8 มิถุนายน 2560) จากสถานการณ์ราคายางพาราที่ผันผวนหนักและตกต่ำ ทำให้โรงงานยางแผ่นรมควันทั้งของเอกชน วิสาหกิจชุมชน และสถาบันเกษตรกรต้องประสบปัญหาขาดทุน และกระทบด้านสภาพคล่องทางการเงิน เนื่องจากทุกแห่งต้องซื้อน้ำยางสดในราคาที่สูง เมื่อนำมาแปรรูปเป็นยางแผ่นรมควัน ชั้น 3 แล้ว ไม่สามารถจะนำออกขายได้ เนื่องจากราคายางแผ่นรมควันก็ตกลงตามรายวัน ทำให้ทุกแห่งต้องเก็บยางแผ่นรมควันเอาไว้ รอวันนำไปขายเพื่อทำกำไร แต่ราคายางกลับตกต่ำต่อเนื่องรายวันๆละประมาณ 2 – 5 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้สหกรณ์มีปัญหาด้านสภาพคล่อง
โดยที่สหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านทุ่งต่อ จำกัด อ.ห้วยยอด จ.ตรัง นางสาวอัญชลี คิดชอบ พนักงานบัญชี กล่าวว่า สหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านทุ่งต่อ มีสมาชิกจำนวน 275 ราย ขณะนี้มียางแผ่นรมควันค้างอยู่ในโกดังประมาณ 15 ตัน โดยรับซื้อน้ำยางสดจากสมาชิกในราคาเฉลี่ยประมาณกิโลกรัมละ 58 – 60 บาท แล้วนำมาผลิตยางแผ่นเดิมตั้งเป้าในการขายยางแผ่นรมควันให้ได้กิโลกรัมละ 68-70 บาท แต่ขณะนี้ราคายางแผ่นรมควันลดลงเหลือกิโลกรัมละ 55 บาท ทำให้สหกรณ์ขาดทุนไปกิโลกรัมละ 10 – 15 บาท ทั้งนี้ นอกจากส่งผลกระทบต่อภาพคล่องของทุกสหกรณ์ โดยเฉพาะสหกรณ์เล็กๆที่มีเงินทุนหมุนเวียนน้อยแล้ว ยังส่งผลไปถึงสมาชิกสหกรณ์ด้วยที่ต้องขายน้ำยางในราคาถูก ทำให้ครอบครัวได้รับความเดือดร้อนกันอย่างมาก เพราะราคาน้ำยางสดขณะนี้เหลือกิโลกรัมละประมาณ 45 – 46 บาท และมีแนวโน้มว่าราคาจะลดลงไปอีก แต่ไม่ทราบว่าจะลดลงไปเหลือกี่บาท โดยสหกรณ์ทุกแห่งต่างก็ขายยางระบายออกไม่ทัน เพราะไม่คาดคิดว่าราคาจะลงมามากและต่อเนื่อง ทำให้ประสบปัญหาดังกล่าวตามมา ซึ่งต่อไปจะล้นโกดังจนไม่มีที่เก็บ เพราะนำออกขายไม่ได้ หากจะขายก็ต้องรอให้ขาดทุนน้อยที่สุด จึงเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้ยางและซื้อขายยางภายในประเทศให้มากขึ้น หรือส่งออกให้มากขึ้น เพื่อให้ราคามีการซื้อขายที่ดีกว่านี้ โดยชาวบ้านต้องการให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเร่งหาสาเหตุของราคายางตกในครั้งนี้ด้วย เพราะมันลงมาเยอะมาก ปกติจะลดลงกิโลกรัมละ 2 – 3 บาท แต่ตอนนี้ลงมาเยอะซึ่งนับจากปลายเดือนพฤษภาคมมาถึงวันนี้ราคายางปรับลดลงมาแล้วกิโลกรัมละประมาณ 20 บาท ซึ่งปกติภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือนจะปรับลดลงไม่เกิน 5- 10 บาท จึงอยากทราบสาเหตุว่าเพราะอะไร