สธ.ยืนยันรพ.กมลาไสย มียาเพียงพอรักษาผู้ป่วย
กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันโรงพยาบาลกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ มียาเพียงพอรักษาผู้ป่วย และสามารถสั่งซื้อยาได้ตามปกติ ชี้ปัญหาที่พบเกิดจากการขาดการสื่อสารที่ถูกต้อง
วันนี้ (1 สิงหาคม 2562) ที่จ.ขอนแก่น นายแพทย์อิทธิพล สูงเเข็ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 7 พร้อมด้วยนายแพทย์สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตสุขภาพที่ 7 ชี้แจงกรณีชาวอำเภอกมลาไสยกว่า 100 คน ขอให้ย้ายนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ออกนอกพื้นที่ สาเหตุจากเข้าใจผิดว่า ไม่อนุมัติให้โรงพยาบาลกมลาไสยจัดซื้อยา ทำให้ผู้ป่วยขาดยา โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าโรงพยาบาลกมลาไสย มียาเพียงพอสำหรับรักษาผู้ป่วยเรื้อรังทุกคน แต่การจ่ายยาแพทย์จะประเมินตามอาการของผู้ป่วยว่าสามารถควบคุมโรคได้ดีมากน้อยแค่ไหน และจะจ่ายยาในระยะสั้นหรือระยะยาว เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ป่วย
“ขอยืนยันว่าไม่เคยมีคำสั่งระงับการจัดซื้อยา และเรื่องยาไม่เพียงพอที่โรงพยาบาลกมลาไสยนั้นไม่เป็นความจริง เพราะมีโรงพยาบาลเครือข่าย 77 โรงพยาบาล ใน 4 จังหวัดเขตสุขภาพที่ 7 ที่จะสนับสนุนเรื่องนี้อยู่แล้ว รวมทั้งยังได้สนับสนุนงบประมาณ 20 ล้านบาทเพื่อการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ และขณะนี้โรงพยาบาลก็สามารถสั่งซื้อยาได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เบื้องต้นคาดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นน่าจะเกิดจากการขาดการสื่อสารที่ดีกับผู้ป่วย” นายแพทย์อิทธิพลกล่าว
ทั้งนี้ โรงพยาบาลกมลาไสย เคยได้รับการร้องเรียนเรื่องการปัญหาขาดยาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2561 และได้มีการสืบข้อเท็จจริงจนได้ข้อมูลเบื้องต้นว่ามีการสั่งซื้อยา รวมทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ ผิดปกติมากถึง 10 ล้านบาท ซึ่งได้ย้ายผู้อำนวยการกมลาไสยคนเดิม มาประจำที่สำนักงานเขตสุขภาพที่ 7 และได้ให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยางตลาด มาช่วยบริหารระหว่างดำเนินการสืบข้อเท็จจริง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา โดยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความสนใจและมอบให้นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามใกล้ชิด เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และให้ประชาชนเกิดความมั่นใจว่ามียารักษาโรคเพียงพอสำหรับผู้ป่วยทุกคน ซึ่งขณะนี้ กลุ่มกฎหมาย ได้ตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อดูการบริหารจัดการทั้งระบบ ให้เกิดความถูกต้องตามระบบธรรมภิบาล