รมช.สธ.ชงแนวคิด 'ตั้งกองทุนฌาปนกิจสงเคราะห์อสม.' หลักประกันให้ครอบครัว

วันนี้(8 ส.ค.) นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมช.) บรรยายพิเศษ เรื่อง การส่งเสริมสุขภาพและลดความแออัดในรพ. ในการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ปีงบประมาณ 2562 ซึ่งมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.)ทั่วประเทศเข้าร่วมกว่า 1,200คนว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มีภารกิจสำคัญคือการลดเจ็บ ลดป่วย เพราะประเทศไม่สามารถหางบประมาณทางด้านสาธารณสุขเพื่อการรักษาพยาบาลที่มากเพียงพอ ดังนั้นหากสามารถลดการเจ็บป่วยได้บุคลากรทางการแพทย์ก็ทำงานน้อยลง งบประมาณก็น้อยลง ซึ่งหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะทำงานในเรื่องของการส่งเสริมการป้องกันการเจ็บป่วยได้ ตนเห็นถึงพลังที่สำคัญของอสม.ทั่วประเทศที่มีกว่า 1.04 ล้านคน การรวมตัวกันจำนวนมากจะมีพลังแฝง พลังภายใน พลังภายนอก เช่น อสม.ทั้งหมดหากตั้งพรรคการเมือง ก็จะมีผู้แทนฯได้ราว 20 คน สามารถทำให้เกิดนโยบายที่ขับเคลื่อนได้ พลังนี้ต้องรักษาและต่อยอดสิ่งที่อสม.ทำดีมานาน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์เริ่มต้นให้ค่าตอบแทนอสม.ที่ 600 บาทต่อเดือน เพราะเห็นพลังและคุณค่าของการทำงาน แต่ก็ต้องพูดให้ตรงให้ชัดว่าคือจิตอาสา ทำงานเพื่อประเทศชาติ แต่พอทำงานดีทุกคนก็ไว้ใจเป็นเรื่องปกติของสังคมไทย ใครทำดีไว้ใจก็ใช้งานมากขึ้น และต้องคิดถึงค่าตอบแทนที่มากขึ้น ซึ่งตนจะยังไม่แตะเรื่องค่าตอบแทนที่มากขึ้น

นายสาธิต กล่าวอีกว่า ตนคิดถึงสวัสดิการอสม. ขณะนี้มีความพยายามจากสธ.มากพอที่จะให้อสม.ได้ใช้สิทธิพิเศษในบางเรื่อง แต่ตนเข้าใจว่ามีแนวคิดเรื่องสวัสดิการในแง่ของการทำเรื่องฌาปนกิจสงเคราะห์ ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับอสม. ที่จะเป็นหลักประกันให้คนในครอบครัว โดยเมื่อรวมส่วนเล็กๆเข้ารวมกันทั้งประเทศ เป็นกองทุนถ้ากองทุนสร้างประโยชน์ มีรายได้เพิ่ม ก็จะเป็นสวัสดิการสำหรับอสม. เพราะฉะนั้นคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องคิดร่วมกันของคนล้านกว่าคน เพื่อให้เงินต่อเงิน อย่างเช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.)เป็นการเอาเงินเก็บมารวมกันแล้วไปบริหารจัดการเงินจำนวนมากสามารถต่อยอดเงินเป็นรายได้ผลกำไรเพราะตัวเงินมีจำนวนมาก เรื่องนี้แม้ผู้บริหารเป็นคนคิด แต่อสม.จะเป็นคนตัดสินใจ ถ้าอสม.ทั้ง 1.04 ล้านคนตกลงก็จะเป็นประโยชน์ที่สามารถกำหนดหลักประกันสำหรับคนในครอบครัวได้ยามที่ท่านเป็นอะไรไป ซึ่งตนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งในแง่ของสวัสดิการและหากอสม.เห็นด้วย หากอสม.เห็นด้วยก็

สรุปตั้งคณะกรรมการ ตนจะร่วมผลักดันอาจจะมีการเขียนกฎหมายร่างกองทุนอสม.เพื่อที่จะได้มีหลักประกันสำหรับตัวเองและครอบครัว และจะนำเรียนต่อรมว.สธ.ต่อไป

นายสาธิต กล่าวด้วยว่า ตนเป็นคนหนึ่งที่จะประกาศใช้เทคโนโลยีเข้ามาในระบบสาธารณสุข ทั้งเพื่อลดการแออัด การปรับปรุงข้อมูลพื้นฐานในสธ.นำไปใช้ประโยชน์เชื่อมโยงกับกระทรวงอื่นๆ ซึ่งเรื่องนี้ต้องมีการลงทุนเพิ่มในยุครัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.)ชื่ออนุทิน ชาญวีรกูลและตน จะต้องถูกขับเคลื่อนเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สูงสุด เพราะฉะนั้นเรื่องเทคโนโลยีกับระบบสาธารณสุขของประเทศต้องถูกนำมาใช้ให้ได้ นอกจากนี้ เห็นศักยภาพของอสม.จึงเป็นเสนอแนวคิดทางเลือกในการลดการแออัดในโรงพยาบาลในขั้นตอนสุดท้ายคือการรับยา โดยในโรคที่ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน ตนเสนอแนวคิดว่าให้อสม.เป็นผู้ที่รับยาและไปส่งยาให้คนไข้ในพื้นที่ ย้ำว่าไปส่งยาเพราะอสม.ไม่มีหน้าที่ในการไปจ่ายยาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เป็นหน้าที่ของเภสัชกร ส่วนวิธีการส่งคืออสม.เอายาที่ผู้ป่วยกินประจำจากโรงพยาบาล ไปส่งให้ผู้ป่วยที่บ้าน ข้อดีคือหากให้อสม.ทำตรงนี้อาจจะช่วยให้อสม.มีสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นแทนที่จะนำเงินไปเสียเงินให้เอกชนรายใดรายหนึ่งในการจัดส่งยา และยังเป็นการพัฒนาศักยภาพของอสม.ที่จะได้เรียนรู้ข้อมูลด้านยา หรืออาจจะมีการพบปะประชาชนผู้ป่วยในพื้นที่มากขึ้นบ่อยขึ้น มีการทำความรู้จักและมีข้อมูลมากขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นแนวคิด จากที่ตนไปเยี่ยมหลายที่มาก็เห็นศักยภาพ ที่สามารถทำได้เพียงพอ อย่างไรก็ตามจะต้องมีการประชุมเชิงปฏิบัติ และหาวิธีการที่ดีที่สุด ซึ่งตนเชื่อมั่นว่าอสม.มีศักยภาพที่ควรถูกหยิบยกมาใช้และทำเรื่องนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสามารถลดการแออัดของการใช้บริการในโรงพยาบาลได้

นายสาธิต กล่าวอีกว่า เรื่องสุดท้ายมีสิ่งหนึ่งที่ทำได้ภายใต้ภารกิจของสธ.ที่ไม่ต้องเสียงบประมาณและภาพใหญ่ของนโยบายประเทศ คือการส่งเสริมการออกกำลังกาย ซึ่งจะช่วยให้ไม่ป่วยและไม่ต้องใช้เงิน สามารถออกกำลังกายด้วยวิธีไหนก็ได้ ขอแค่เหงื่อออกหัวใจเต้นแรงมากกว่าปกติ ในช่วงระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 30 นาที ขอให้อสม.และส่งเสริมให้คนรอบข้างออกกำลังกาย โดยต้องเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน อย่าขี้เกียจต้องมีวินัยในการออกกำลังกาย ทำประจำสม่ำเสมอ และผู้ตรวจราชการควรขับเคลื่อนให้เกิดพร้อมกันทุกๆเขตบริการสุขภาพ หากสธ.มีตัวชี้วัดว่าปีหนึ่งจะสามารถลดจำนวนผู้ป่วยไปได้มากน้อยแค่ไหนก็สามารถนำมาเป็นตัวชี้วัดได้ เพราะเวลาป่วยเวลานอนติดเตียงไม่ได้เดือดร้อนคนเดียว แต่คนที่เดือดร้อนมีอีกมาก ลูก พ่อแม่ต้องหันมาดูแลจากที่ต้องไปทำงานก็ต้องหาดูแล ดังนั้นการออกกำลังกายก็ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น หากไม่รักตัวเองก็ขอให้รักพ่อแม่รักลูกหลานตัวเอง อย่างไรก็ตามออกกำลังกายแล้วอาจจะป่วยได้แต่การออกกำลังกายก็ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น

รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเสียงประชาชนเป็นใหญ่ พรรคการเมืองที่มาจากประชาชนเสียงของประชาชนเป็นเรื่องของการสะท้อนความต้องการที่มาจากข้างล่าง คนที่เป็นผู้แทนต้องนำความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่มาขับเคลื่อน แต่โจทก์ก็ไม่ง่ายโจทย์ยากคือพอเป็นนักการเมืองเข้ามาเป็นผู้บริหารประเทศแล้วต้องดูทรัพยากรของประเทศในภาพรวมว่ามีแค่ไหนและจะถูกใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร แต่ถ้าเป็นนักการเมืองที่คิดแค่หาเสียงเพื่อให้ได้คะแนนกลับไป แล้วทำสิ่งที่เป็นภาระของประเทศก็จะไม่ยั่งยืนอยู่ได้ไม่นาน แน่นอนที่สุดพวกตนที่เป็นพรรคการเมืองต้องฟังเสียงประชาชนพรรคประชาธิปัตย์หาเสียงไว้กับพวกท่านไม่เคยลืมเพราะเราเป็นคนสร้างอสม.และให้ค่าตอบแทนครั้งแรกนี่คือความจริงเราให้ 600 บาท พรรคการเมืองอื่นมาต่อยอดและสุดท้ายได้ 1,000 จากรัฐบาลชุดที่แล้ว ผมหาเสียงไว้กับพวกท่านว่าผมจะเพิ่มค่าตอบแทนให้อสม.เป็น 1,200 บาทหรืออาจมากกว่านั้นอย่างไรก็ตาม 1,200 บาทที่พรรคประชาธิปัตย์พูดคือ 1,000 บาเดิมที่ได้แล้วบวกอีก 200 บาทป็นเรื่องของกองทุนที่จะมาบริหารกองทุน ส่วนพรรคภูมิใจไทยถ้าจำไม่ผิดตัวเลขอยู่ที่ 2,500 บาท พรรคพลังประชารัฐ น่าจะประมาณ 3,000-5,000 บาท

"นั่นหมายความว่าทุกพรรคการเมืองให้ความสำคัญ และจะถูกหยิบยกขึ้นมาและพูดคุยกันว่าจะมีวิธีที่จะให้ค่าตอบแทนอสม.เพิ่มมากขึ้นตามภารกิจที่เพิ่มขึ้นตามโครงสร้างของสธ. รัฐบาลต้องคิดเรื่องนี้ต้องคุยกันว่าตรงไหนที่จะเกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน ภายใต้รัฐบาลชุดนี้ผมมีความเชื่อมั่นว่าภายใต้เนื้องานที่ท่านทำอยู่ภายใต้แผนงานสธ.ที่เพิ่มงานให้ท่านและภายใต้ศักยภาพของตัวท่าน เชื่อว่าท่านจะมีอะไรใหม่ๆภายใต้รัฐบาลชุดนี้ที่มาจากการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชนทุกคน เชื่อว่าท่านจะมีสิทธิประโยชน์มากขึ้น"นายสาธิตกล่าว