'สมคิด' แจงนโยบายรับมือความผันผวนเศรษฐกิจโลก
“สมคิด” แจงนโยบายรับมือความผันผวนเศรษฐกิจโลก สั่งคลังจับมือแบงก์ชาติ ตลท. กลต. ตั้งคณะกรรมการร่วม หวังให้นโยบายการเงิน - การคลัง มีความสอดคล้องกัน หวังเพิ่มกลไกในประเทศรับมือสงครามการค้ากระทบการส่งออก
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในระหว่างการประชุมชี้แจงนโยบายรัฐบาลต่อผู้บริหารระดับสูง ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ และตัวแทนภาคเอกชน เข้าร่วมงานประมาณ 800 คน วันนี้ (8 ส.ค.) ว่าในส่วนที่ตนชี้แจงในครั้งนี้ก็คือในส่วนของระยะสั้นที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจโลก หลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯประกาศจะขึ้นภาษีจีนอีก 3 แสนล้านดอลลาร์ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง โดยตลาดหุ้นขนาดใหญ่ปรับตัวลดลง 4 – 6% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง 2 -3 % ซึ่งการที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงน้อยกว่าตลาดอื่นๆก็สะท้อนถึงปัจจัยพื้นที่ฐานที่มีความแข็งแกร่งกว่าตลาดอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม มองว่าสงครามการค้าที่เริ่มส่งผลกระทบในขณะนี้เป็นเพียงระยะเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งในอนาคตภาคส่งออกของไทยยังคงต้องเผชิญกับปัญหาทั้งความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และค่าเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไทยพึ่งพาการส่งออกอยู่ถึง 70% ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจโลกไม่ดีก็ต้องให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งนอกจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ นโยบายทางการเงินและการคลังจะต้องไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเร็วๆนี้กำลังจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อหารือในเรื่องนโยบายการเงินและนโยบายการเงินที่จะออกมาอย่างใกล้ชิด
“นโยบายการเงินและการคลังที่ออกมาต้องไปในทิศทาเดียวกัน ที่บอกว่าไม่ได้มีความเป็นอิสระ ไม่มีแล้ว ประเทศไทยไม่มีรัฐอิสระ ต้องไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้เกิดผลในทางเศรษฐกิจมากที่สุด” นายสมคิดกล่าว